Kamala Harris – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Dec 2020 11:21:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มรสุม ปี 2020 สุดยอด “ผู้นำหญิง” เฉิดฉายในเกมการเมืองโลก https://positioningmag.com/1312563 Thu, 31 Dec 2020 09:18:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312563 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดปี 2020’ ทั่วโลกต้องเผชิญมรสุมโรคระบาดครั้งใหญ่ มาซัดกระหน่ำเเบบไม่หยุดหย่อน เเละจะส่งผลกระทบทุกภาคส่วน ต่อเนื่องไปอีกหลายปี

การมาของ COVID-19 ได้พลิกวิถีชีวิตของผู้คนไปเเบบคาดไม่ถึง เมื่อการเดินทางที่เคยไปไหนก็ได้ทั่วโลกกลับหยุดชะงัก ยอดผู้ติดเชื้อสะสมที่ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องหวั่นวิตกกับการกลายพันธุ์ที่มาซ้ำเติมระหว่างรอวัคซีน ทำให้เศรษฐกิจโลกที่ทรุดอยู่เเล้ว ต้องทรุดหนักลงไปอีก รัฐบาลในเเต่ละประเทศต้องต่อสู้กับการบริหารจัดการวิกฤต

ช่วงมรสุมที่ต้องเจอกับสารพัดความท้าทายตลอดปี 2020 นี้ เป็นช่วงเวลาที่ผู้นำหญิงได้เเสดงศักยภาพอันโดดเด่นในการบริหารประเทศ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากประชาคมโลกไม่น้อย เเละผลงานของพวกเธอจะยังเฉิดฉายต่อไปในปี 2021 อย่างเเน่นอน

Positioning รวบรวมสุดยอดผู้นำหญิง’ (บางส่วน) ที่มีบทบาทสำคัญในเกมการเมืองโลกตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

อังเกลา แมร์เคิล : เยอรมนี

เริ่มต้นกับสุดยอดหญิงเเกร่งอย่างอังเกลา แมร์เคิล’ (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีเเห่งเยอรมนี ผู้ได้รับการตัดอันดับจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน 

เยอรมนีถือเป็นประเทศผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการเศรษฐกิจเเละสังคมต่างๆ รวมไปถึงข้อตกลงดีลเบร็กซิตการเเยกตัวของสหราชอาณาจักร ที่เพิ่งบรรลุไปหมาดๆ จบมหากาพย์ยืดเยื้อยาวถึง 4 ปี

อ่านรายละเอียด : สรุป 10 ข้อสำคัญปิดดีล Brexit” อังกฤษ-EU

ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด แมร์เคิลต้องเเบกภาระหนักอึ้ง จากสถานการณ์ในเยอรมนีนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อต้องติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดของโลก โดยยอดล่าสุดอยู่ที่ราว 1.29 ล้านราย รักษาหายแล้ว 9.5 แสนราย 

ที่ผ่านมา เยอรมนีใช้มาตรการควบคุมโควิดที่เข้มงวดน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป หลังจากผ่านการระบาดในช่วงเเรก เเละตอนนี้กำลังได้รับผลกระทบจากการระบาดอีกระลอก เมื่อเริ่มพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเป็นจำนวนมากกว่าการระบาดช่วงฤดูใบไม้ผลิถึง 3 เท่า

อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมัน

ดังนั้น รัฐบาลเยอรมนี จึงขยายการใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ด้วยการสั่งปิดร้านค้าที่ไม่จำเป็น รวมถึงให้มีการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ ไปจนถึงอย่างน้อยวันที่ 10 มกราคม 2021

ในช่วงมรสุม แมร์เคิล ชนะใจประชาชนด้วยการพูดคุยอย่างเปิดเผยว่าประเทศชาติกำลังเผชิญความท้าทายอะไรอยู่ โดยในช่วงเเรกๆ ที่เกิดการเเพร่ระบาด เธอได้ออกมายอมรับอย่างรวดเร็วว่า COVID-19 เป็นภัยที่ร้ายแรงมากต้องรีบจัดให้มีการตรวจหาเชื้อติดตามและกักตัวผู้ติดเชื้อ

EU ได้เริ่มฉีดวัคซีน COVID-19 แล้ว เมื่อช่วงกลางเดือน ธ.. ที่ผ่านมา โดยเริ่มเเจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบาง และบุคลากรการแพทย์ก่อน ซึ่งคุณยายวัย 101 ปีได้รับเป็นคนแรกในเยอรมนี

สิ่งที่น่าจับตามองในปี 2021 คือการประกาศวางมือทางการเมืองของเเมร์เคิล ที่กำลังก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังหมดวาระลงในปีหน้านี้ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองยุโรป ต้องติดตามกันว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

จาซินดา อาร์เดิร์น : นิวซีเเลนด์ 

โดดเด่นทั้งบุคลิกเเละผลงาน ต้องมอบมงให้จาซินดา อาร์เดิร์น” (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ที่ได้รับคำชมจากนานาชาติอย่างล้นหลาม เเละการชื่นชมชมจากประชาชนในประเทศ ด้วยการเลือกให้ชนะเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2

ตลอดการทำงานในตำเเหน่งผู้นำประเทศ เธอได้ดำเนินนโยบายต่างๆ ที่หลากหลายเเละเเปลกใหม่ทั้งการรับมือผู้ก่อการร้ายที่นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายครอบครองอาวุธปืน การส่งเสริมสิ่งเเวดล้อมผลักดันปัญหาสภาพอากาศในเวทีโลก การสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เเละการสร้างงานต่างๆ

เเละในขณะที่ประเทศต้องรับมือกับโรคระบาด อาร์เดิร์นก็ตัดสินใจได้เฉียบขาดไม่เเพ้ใคร

โดยนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ตั้งใจจะหยุดการแพร่ระบาดโดยสิ้นเชิง ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ตอนที่ผู้เสียชีวิตในประเทศมีแค่ 6 รายเท่านั้น เพื่อเดินหน้าตรวจและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งในช่วงกลางปี 2020 นิวซีเเลนด์มียอดผู้ติดเชื้อใหม่เป็นศูนย์เเละติดลิสต์เป็นหนึ่งในประเทศที่จัดการโรคระบาดได้ดีที่สุด

จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ (Photo by Hagen Hopkins/Getty Images)

นิวซีแลนด์ ได้สั่งจองวัคซีน COVD-19 มากเพียงพอต่อประชากรภายในประเทศทั้งหมดราว 5 ล้านเเล้ว โดยต่อไปจะมีการเเบ่งปันวัคซีนส่วนต่างไปให้ประเทศใกล้เคียงด้วย

รัฐบาลนิวซีแลนด์เพิ่งให้ไฟเขียวข้อตกลง Travel Bubble กับออสเตรเลีย ภายในไตรมาสแรกปี 2021 เป็นความพยายามครั้งใหม่ หลังจากเคยคุยกันมาหลายรอบแต่เป็นอันพับแผนเพราะการระบาดซ้ำ โดยข้อตกลงนี้สำคัญกับภาคท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์ ซึ่งมีลูกค้าต่างประเทศเป็นชาวออสเตรเลียเกือบ 50%

ซานนา มาริน : ฟินเเลนด์ 

นี่คือยุคของคนรุ่นใหม่ของจริงกับซานนา มาริน (Sanna Marin) นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก วัย 34 ปี จากฟินแลนด์ เธอเดินหน้าสนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ จัดตั้งรัฐบาลผสมที่ล้วนมีผู้หญิงเป็นผู้นำพรรค ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองโลก

มารินได้เสนอตารางการทำงานแบบใหม่ โดยแบ่งให้ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ ในเวลา 6 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้คนงานใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น

ก่อนที่เธอจะเป็นนายกรัฐมนตรี มารินเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของฟินแลนด์ ในขณะที่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว Marin สนับสนุนให้มีเวลาทำงานน้อยลง เพื่อปรับปรุงความสามัคคีและผลผลิตของพนักงาน ขณะที่ปัจจุบันฟินแลนด์ทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์

ซานนา มาริน นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์

ฉันเชื่อว่าผู้คนควรใช้เวลากับครอบครัว คนที่รัก งานอดิเรก และใช้เวลากับด้านอื่นๆ ของชีวิต เช่น วัฒนธรรม และนี่อาจเป็นขั้นต่อไปสำหรับชีวิตการทำงานของเรา

ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ก็สร้างความท้าทายให้ผู้นำรุ่นใหม่ไม่น้อย เเต่ฟินแลนด์ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับเสียงชื่นชมในการรับมือ COVID-19 อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันก่อน ทางการระบุว่า พลเมืองฟินแลนด์อย่างน้อย 1 คนที่เพิ่งเดินทางกลับจากสหราชอาณาจักร ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโรค COVID-19  กลายพันธุ์ก็ต้องรอดูว่ารัฐบาลภายใต้การนำของซานนา มารินจะจัดการวิกฤตนี้ต่อไปอย่างไร

ไช่อิงเหวิน : ไต้หวัน 

เราคงคุ้นเคยกับชื่อของไช่อิงเหวิน(Tsai Ing-wen) ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไต้หวัน ที่ขึ้นชื่อในความเเข็งเเกร่ง ด้วยการการดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีนแผ่นดินใหญ่พยายามผลักดันให้ไต้หวันมีบทบาท เเละเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก รวมถึงการประกาศให้ไต้หวันใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกันเป็นชาติแรกในเอเชีย 

โดยเมื่อต้นที่ผ่านมา ไช่อิงเหวิน ชนะเลือกตั้งด้วยคะเเนนเสียงท่วมท้น นั่งเก้าอี้ผู้นำไต้หวันต่อเป็นสมัยที่ 2

ความท้าทายในปีนี้ของไช่อิงเหวิน นอกเหนือจากการเล่นการเมืองเเห่งอำนาจเเล้ว เธอยังต้องเจอวิกฤตการระบาดของ COVID-19 ที่ค่อนข้างสาหัสทีเดียว ในช่วงเเรกไต้หวันได้รับการยกย่องว่าจัดการโรคระบาดได้ดีลำดับต้นๆ ของโลก ก่อนจะมีการระบาดซ้ำในเวลาต่อมา

ไช่อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน (Photo by Clicks Images/Getty Images)

เเผนการรับมือ COVID-19 ของไต้หวัน ที่สำคัญคือการตื่นตัว และไม่นั่งอยู่เฉยๆ จากนั้นไต้หวันใช้วิธีรุกด้วยการตั้งศูนย์บัญชาการกลาง Central Epidemic Command Center ศูนย์ CDC นี้ทำให้ไต้หวันสามารถเดินมาตรการและตัดสินใจได้เร็วทันการณ์ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจจับและติดตามผู้ติดเชื้อแบบไม่คลาดสายตา

ขณะเดียวกัน ไต้หวันทำได้ดีคือการเตรียมพร้อมด้านอุปกรณ์ หน้ากากที่ไต้หวันไม่ขาดตลาดและมีราคาตั้งที่ 16 เซ็นต์ต่อแผ่นเท่านั้น (ราว 0.17 บาท) ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้ต่อสาธารณชนอย่างทั่วถึง คู่ไปกับภาคประชาชนที่ลงมือดูแลตัวเอง ตรวจวัดอุณหภูมิลูกหลานตั้งแต่ที่บ้าน แล้วรายงานให้ครูทราบเมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียน ทั้งหมดนี้ไต้หวันทำได้เพราะการเรียนรู้จากประสบการณ์ล้วนๆ

อ่านเพิ่มเติม : กรณีศึกษา: ถอด 8 บทเรียน ทำไมไต้หวันคุม COVID-19 ได้อยู่หมัด!

ไช่อิงเหวิน เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อเกมการเมืองโลก เรื่อยไปอย่างน้อยจนถึงปี 2024 เเน่นอน

คามาลา แฮร์ริส : สหรัฐอเมริกา 

ตั้งเเต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป ใครๆ ก็คงจับตาการเมืองฉากใหม่ของอเมริกา

คามาลา แฮร์ริส (Kamala Harris) สร้างประวัติศาสตร์ เป็นสตรีคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เเละยังเป็นลูกครึ่งเอเชียคนแรก และชาวอเมริกันผิวสีคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งนี้ด้วย

จากอัยการเขตหญิงคนแรกของซานฟรานซิสโก สู่การขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเบอร์สอง “แฮร์ริสจุดประกายความหวังในโลกการเมืองของผู้หญิงอีกครั้ง หลังฮิลลารี คลินตันพ่ายแพ้ให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ ในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน

แม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ทำงานนี้ แต่ฉันจะต้องไม่ใช่คนสุดท้าย

คามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Photo : Twitter / @KamalaHarris )

หลังรู้ผลว่าชนะเลือกตั้ง แฮร์ริส ได้กล่าวยกย่องผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติและสีผิวในอเมริกา ที่ช่วยต่อสู้ให้ผู้หญิงผิวสีในอเมริกาได้มีวันนี้ ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิที่จะได้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงทุกคนที่กำลังดูอยู่ จะเห็นว่านี่คือประเทศแห่งความเป็นไปได้

โจ ไบเดนเพิ่มความหลากหลายทางเพศในคณะทำงานระดับสูงของเขา ด้วยการเปิดตัวทีมสื่อสารหญิงล้วน (4 คนในนั้นเป็นผู้หญิงผิวดำ) ทีมเศรษฐกิจหญิงแกร่ง นำโดยอดีตประธานเฟดอย่างจาเน็ต เยลเลนเเละดึง ส.ส. หญิงอายุน้อยมานั่งกระทรวงแรงงาน นี่คือความต้องการพลิกการเมืองจากยุคของโดนัลด์ ทรัมป์

รอดูกันว่า ปี 2021 การเปลี่ยนเเปลงด้วยพลังหญิงในรัฐบาลมหาอำนาจอย่างอเมริกา จะสร้างแรงกระเพื่อมได้มากน้อยเพียงใด

 

]]>
1312563
คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทิศทางใหม่อเมริกา https://positioningmag.com/1305031 Sun, 08 Nov 2020 05:28:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305031 โจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 หลังเฉือนเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้สำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดของสหรัฐฯ คือ 78 ปี

โดยชัยชนะของไบเดน ส่งผลให้คามาลา แฮร์ริส’ (Kamala Harris) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ วัย 56 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เป็น Running Mate ของไบเดน จะได้เป็นผู้หญิงคนแรก คนผิวสีคนแรก และคนเชื้อสายเอเชียคนแรก (แม่ของเธอเป็นชาวอินเดีย พ่อเป็นคนจาเมกา) ที่ได้นั่งเก้าอี้ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

หลังจากที่ทราบผลชนะการเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่เป็นรัฐสวิงเตทสำคัญ ทำให้เขามีคะเเนนคณะผู้เลือกตั้งเกินครึ่งที่ 270 ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทวิตข้อความว่า

งานต่างๆ ที่รอเราอยู่ข้างหน้า อาจเป็นงานที่ยาก แต่ผมให้คำมั่นกับคุณตรงนี้ว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน ไม่ว่าคุณจะโหวตให้ผมหรือไม่ก็ตาม…ผมจะเก็บรักษาศรัทธาที่คุณมีให้กับผม

Photo : twitter @JoeBiden

จากนั้นไบเดนเเละเเฮร์ริส ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ระบุว่า นี่คือเวลาแห่งการสมานแผล การเลือกตั้งจบลงแล้ว งานของเราคือการเดินหน้าด้วยการทำดีต่อกัน ด้วยความยุติธรรม และยึดถือหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยพลังแห่งความหวัง”

คามาลา แฮร์ริส ได้กล่าวยกย่องผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติและสีผิวในอเมริกา ที่ช่วยต่อสู้ให้ผู้หญิงผิวสีในอเมริกาได้มีวันนี้ ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิที่จะได้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงทุกคนที่กำลังดูอยู่ จะเห็นว่านี่คือประเทศแห่งความเป็นไปได้

แม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ทำงานนี้ แต่ฉันจะต้องไม่ใช่คนสุดท้าย

โศกนาฏกรรมชีวิตของ “ไบเดน” ถูกนำมาใช้ในการหาเสียงครั้งนี้ด้วย โดยเขาสูญเสียภรรยาคนแรกและลูกสาวคนเล็กจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อปี 1972 ส่วนลูกชาย 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างนั้นทำให้เขาต้องนั่งรถไฟหลายชั่วโมงต่อวัน จากโรงพยาบาลในรัฐเดลาแวร์ เพื่อเข้าไปที่ทำงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนจะพบรักใหม่ในปี 1977 กับ “จิลล์ ไบเดน” ผู้ที่จะมาเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ คนต่อไป

ไบเดน เป็นผู้มีประสบการณ์ในเกมการเมืองมาหลายทศวรรษ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาถึง 7 ครั้ง และลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาหลายครั้ง ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีครั้งเเรกในสมัยของ “บารัก โอบามา” ที่ดำรงตำเเหน่ง 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม ไบเดน มีข้อครหาเรื่องชอบสัมผัสร่างกายเกินควร เเละถูกกล่าวหาว่าชอบ “ดมผมผู้หญิง” ซึ่งมีคลิปวิดีโอส่อไปในพฤติกรรมดังกล่าวทั้งกับผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้หญิงอย่างน้อย 8 คน ออกมากล่าวหาว่าถูกไบเดนลวนลาม

ตอนที่ไบเดน ประกาศลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ เขายืนหยัดต่อสู้เพื่อสองสิ่ง คือผู้คนที่สร้างประเทศนี้ และค่านิยมที่จะประสานรอยร้าวจากการแบ่งแยกในสังคม

รัฐบาลชุดใหม่ ต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง ทั้งวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ปัญหาความไม่ยุติธรรมทางเชื้อชาติ อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การฟื้นฟูเเละปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิการรักษาพยาบาล และความสัมพันธ์กับนานาชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน ที่หลายฝ่ายกำลังจับตา

มาดูนโยบายหลักๆ ของ “โจ ไบเดน” ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนเเละจะผลักดันได้จริงหรือไม่

เศรษฐกิจ

ไบเดนจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ “คนทำงาน” โดยสนับสนุนให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 465 บาท) ต่อชั่วโมง จากอัตราปัจจุบันที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 225 บาท) ต่อชั่วโมง ซึ่งมาตรการนี้ ถือว่าทำให้เขาได้คะเเนนเสียงจากคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

พร้อมมุ่งเพิ่ม “เก็บภาษีผู้มีรายได้สูง” เพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลางและล่าง ผ่านการลงทุนด้านบริการสาธารณะ ทั้งอุตสาหกรรม ไอที พลังงานสะอาด โดยการจะขึ้นภาษีจะกระทบกลุ่มประชากรที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

อีกทั้งจะคิดภาษีมรดกเเบบใหม่ ที่จะคิดภาษีจากมรดกทั้งก้อน ต่างจากปัจจุบันที่ผู้ได้รับมรดกจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของกำไร (Capital Gains) เเละไบเดนยังเตรียมร่างกฎหมายขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเเละภาษีนิติบุคคลด้วย

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ทุ่มงบอีก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อสินค้าที่ผลิตในอเมริกา เเละประกาศใช้กฎหมายสนับสนุนซื้อสินค้าของชาวอเมริกันสำหรับโครงการขนส่งใหม่ ๆ

(Photo by Gary Hershorn/Corbis via Getty Images)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไบเดนยืนยันว่าทันทีที่เขาเข้ารับตำเเหน่ง สหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วมข้อตกลงด้านสิ่งเเวดล้อมระดับโลกอีกครั้ง โดยจะผลักดันให้อเมริกาบรรลุเป้าหมายลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “ให้เป็นศูนย์” ภายในปี 2050

พร้อมประกาศจะทุ่มงบลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการ “พลังงานสีเขียว” มีแผนเศรษฐกิจที่ต้องการให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยมองว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยคนชนชั้นแรงงานไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ เขายังมีเเผนจะเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วย และกังหันลมแบบ wind turbine อีก 6 หมื่นหน่วย รวมถึงมีการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐฯ

COVID-19 

ไบเดนประกาศว่า รัฐบาลชุดใหม่จะจัดให้มีการ “ตรวจหาเชื้อฟรี” และจ้างคน 1 แสนอัตรา สำหรับดำเนินโครงการติดตามตัวผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศ เเละจะจัดตั้งศูนย์ตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 10 แห่งในแต่ละรัฐ โดยเขาเห็นว่าผู้ว่าการรัฐทุกรัฐ ควรออกข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย เเละให้คำเเนะนำที่ถูกต้องกับประชาชน

Photo : Shutterstock

ระบบสุขภาพ

ไบเดนตั้งธงไว้ว่าจะ “ขยายแผนโอบามาแคร์” หรือกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act (ACA) สานต่อจากสมัยที่ทำงานเป็นรองประธานาธิบดี โดยเขาต้องการลดอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิ์เข้ารับการรักษาตามนโยบาย Medicare จากผู้สูงอายุจากเดิมที่ 65 ปี เป็น 60 ปี เเละสัญญาว่าจะให้ชาวอเมริกันทุกคนมีทางเลือกขึ้นทะเบียนในประกันสาธารณสุขที่คล้ายกับ Medicare

เชื้อชาติ การอพยพ เเละการควบคุมปืน 

ไบเดน มุ่งจะลดปัญหาเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ ด้วยแผนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสนับสนุน “คนกลุ่มน้อย” เช่นจะ ทุ่มงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างงานและธุรกิจให้คนกลุ่มน้อย เเละจะกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติในกระบวนการยุติธรรม เช่น การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจูงใจหลายรัฐให้ลดอัตราการจำคุก

อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธข้อเรียกร้องที่อยากให้ลดงบประมาณหน่วยงานตำรวจ เพราะมองว่าควรมีไว้เพื่อรักษามาตรฐานของหน่วยตำรวจ เเต่ก็เห็นด้วยว่า งบประมาณของตำรวจในบางอย่าง ก็ควรจะถูกนำไปดูเเลภาคสังคม เช่น เรื่องปัญหาสุขภาพจิต

ส่วนกฎหมาย “ควบคุมปืน” เป็นไปตามเเนวทางของพรรคเดโมเเครตที่เน้นให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนอย่างละเอียด จำกัดจำนวนอาวุธปืนที่ประชาชนซื้อได้เหลือไม่เกิน 1 กระบอกต่อ 1 เดือน เเละจะให้ทุนวิจัยเรื่องการป้องกันความรุนแรงจากอาวุธปืน

ส่วนนโยบายเรื่องผู้อพยพ ไบเดนสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรก หลังได้ทำงานเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ที่กีดกันครอบครัวผู้อพยพที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากประเทศมุสลิม

(Photo by Spencer Platt/Getty Images)

การศึกษา

ไบเดนจะสนับสนุนโครงการเพื่อเด็กวัยก่อนเข้าเรียน เเละขยายสิทธิ์ “เรียนฟรี” รวมถึงผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา เพิ่มวิทยาลัยที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน

นโยบายต่างประเทศ 

ไบเดน ประกาศว่าจะ กู้ชื่อเสียงของอเมริกา ผ่านการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก

เขาเห็นว่า จีนมีนโยบายการค้าและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม เเต่แทนที่จะมุ่งเป้าขึ้นกำแพงภาษีกับจีน สหรัฐฯ ควรจะจับมือกับพันธมิตรนานาชาติ กดดันเพื่อให้จีนไม่เพิกเฉย ซึ่งยังไม่เเน่ชัดว่าเขาจะมีทิศทางความสัมพันธืกับจีนต่อไปอย่างไร ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมาหลายปี

 

]]>
1305031