สรุป 10 ข้อสำคัญปิด “ดีล Brexit” อังกฤษ-EU จบมหากาพย์ยืดเยื้อ 4 ปี

(Photo : Shutterstock)
โค้งสุดท้ายของมหากาพย์ Brexit สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) ประกาศบรรลุดีลเบื้องต้นก่อนถึงเส้นตายวันที่ 31 ธันวาคมนี้ อ่านสรุป 10 ข้อเนื้อหาสำคัญในข้อตกลงได้ที่นี่

กระบวนการ Brexit หรือการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ของสหราชอาณาจักรยืดเยื้อมานานถึง 4 ปี นับตั้งแต่การลงประชามติในปี 2016 โดยมีเส้นตายการทำข้อตกลงกับ EU ให้ได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2020 มิฉะนั้น อังกฤษจะต้องออกจาก EU โดยไร้ข้อตกลง

มีผลกระทบหลายด้านที่จะเกิดขึ้นทั้งกับอังกฤษและ EU หากเกิด ‘No-deal Brexit’ ขึ้นจริง แต่ในที่สุดประชาชนทั้งสองฝั่งได้รับข่าวดีต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส โดยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2020 ทั้ง “บอริส จอห์นสัน” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ “เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน” ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ต่างประกาศความสำเร็จในการจับมือทำข้อตกลงกันได้ในที่สุด

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ (Photo by Andrew Parsons-WPA Pool/Getty Images)

โดยข้อตกลงเบื้องต้นที่แจ้งต่อสื่อจากรายละเอียดรวมนับพันๆ หน้า สรุปเป็น “10 ข้อสำคัญปิดดีล Brexit” ดังนี้

1) เขตปลอดภาษีทางการค้า และไม่จำกัดโควตาการนำเข้า-ส่งออก
2) สิ้นสุดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีระหว่างประชาชนในสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป ส่งผลให้ประชาชนชาวอังกฤษไม่สามารถทำงาน เรียนต่อ อยู่อาศัย หรือเริ่มต้นธุรกิจใน EU ได้โดยไม่มีวีซ่า
3) เริ่มการจัดตั้งจุดตรวจชายแดนระหว่าง EU กับอังกฤษ
4) อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการจัดตั้งด่านชายแดนถาวร (hard border) ระหว่างพื้นที่ไอร์แลนด์เหนือกับประเทศไอร์แลนด์
5) น่านน้ำการประมงของอังกฤษจะค่อยๆ ทยอยกลับคืนสู่อังกฤษ 100% ภายในเวลา 5 ปีครึ่ง โดยจะทยอยลดโควตาเรือประมงของ EU ที่เข้ามาจับปลาในน่านน้ำได้ในแต่ละปี เริ่มปีแรกลดลง 15%
6) ยังคงมีสัญญาต่อกันในการสร้างความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อม สู้โลกร้อน และลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงความสนใจที่ตรงกันในด้านอื่นๆ เช่น พลังงาน ความปลอดภัย ขนส่งสาธารณะ อย่างไรก็ตาม มีโครงการหนึ่งที่อังกฤษจะไม่มีส่วนร่วมใน EU อีกต่อไปคือโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน Erasmus
7) สัญญาร่วมกันในการปกป้องสิทธิแรงงานและสังคม
8) รักษามาตรฐานความโปร่งใสด้านภาษี
9) สิทธิแรงงานและผู้โดยสารในธุรกิจขนส่ง
10) โปรแกรมต่อเนื่องที่สหราชอาณาจักรมีร่วมกับ EU จนถึงปี 2027 เช่น โครงการ Horizon Europe จะยังคงได้รับเงินสนับสนุนตามส่วนของสหราชอาณาจักรต่อไป

“เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน” ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (Photo by Leon Neal/Getty Images)

จอห์นสัน กล่าวถึงดีลในครั้งนี้ว่าเป็น “ดีลที่ดีสำหรับทวีปยุโรปทั้งหมด” และย้ำเตือนถึงแคมเปญ Brexit ในลักษณะชาตินิยมอีกครั้งว่า “เราได้นำสิทธิกำหนดควบคุมกฎหมายและชะตาของเราเองกลับคืนมาอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2021 เราจะอยู่นอกสหภาพ นอกตลาดเดียว กฎหมายของอังกฤษจะอยู่ในมือรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น ถูกตีความโดยผู้พิพากษาอังกฤษ ในศาลของอังกฤษ และการตัดสินใจของศาลแห่งสหภาพยุโรปจะถึงจุดสิ้นสุด”

ด้าน ฟอน เดอร์ เลเยน แถลงเช่นกันว่า EU ได้เซ็นดีลที่สมดุลและยุติธรรม แต่ให้สัญญาณว่า EU ได้เปรียบกว่าในดีลครั้งนี้

“อย่างที่เราทราบกันดี หากว่ามีการออกจาก EU แบบ Hard Brexit จะไม่ส่งผลดีกับทั้งสองฝ่าย แต่จะส่งผลกระทบที่หนักกว่ากับสหราชอาณาจักร เพราะเรามีประชากรถึง 450 ล้านคนใน EU ดังนั้น จากความแข็งแกร่งของเราทำให้เราบรรลุดีลที่ครอบคลุมที่สุดที่เราเคยได้มา” ฟอน เดอร์ เลเยนกล่าว

ทั้งนี้ สิ่งที่น่าหนักใจอย่างต่อไปคือการนำข้อตกลงมาประกาศเป็นกฎหมาย ฝั่งสหราชอาณาจักรจะมีการประชุมสภาในวันที่ 30 ธันวาคมนี้ โดยพรรคฝ่ายค้านแสดงท่าทีแล้วว่าพรรคจะโหวตผ่านดีลข้อตกลงทางการค้า แต่ฝั่ง EU นั้นมีแนวโน้มที่จะเซ็นกฎหมายไม่ทันก่อนปีใหม่ ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2021 มีความเป็นไปได้ที่บริษัทต่างๆ จะเตรียมตัวไม่ทันรับฐานภาษีที่พุ่งสูงขึ้นชั่วคราว

Source: CNN, BBC