กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF มองว่า ความตึงเครียดทั่วโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน อาจกระทบกับการลงทุนในต่างประเทศ และอาจทำให้ GDP ทั่วโลกเสียหายถึง 2%
โดย IMF ชี้ว่า ความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐฯ และจีน ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการออกร่างกฎหมายหลายฉบับ เช่น ร่างกฎหมาย Chips and Science Act ของสหรัฐฯ และเมื่อไม่นานมานี้ ญี่ปุ่น เองได้ก็เข้าร่วมกับสหรัฐฯ ที่พยายามตัดจีนออกจากการเข้าถึงชิป โดยญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายใหม่ ทำให้ไม่สามารถส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ 23 ประเภทไปยังจีนได้
“บริษัทต่าง ๆ และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกกำลังค้นหาวิธีที่จะทำให้ซัพพลายเชนของพวกเขาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดย ย้ายฐานการผลิตหรือไปยังประเทศที่เชื่อถือได้ ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่การกระจายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ”
การสำรวจที่จัดทำโดยหอการค้าอเมริกันในจีนแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยนักลงทุนมองประเทศจีนในมุมมองด้านลบมากขึ้น โดยมีไม่ถึงครึ่งที่นักลงทุนมองว่าจีนยังเป็น Top 3 ประเทศที่น่าลงทุน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ที่จีนหลุด Top 3 ประเทศที่นักลงทุนเลือกลงทุน
โดย 66% ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มสำรวจมองว่า ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ถือเป็นความท้าทายอันดับ 1 ในการทำธุรกิจตอนนี้ และ 65% ระบุว่า พวกเขาไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจีนจะยังคงเปิดกว้างสำหรับการลงทุนจากต่างชาติหรือไม่ โดยบริษัทสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการต้อนรับจากจีนน้อยกว่าในปีที่ผ่านมา
“ขณะนี้เงินกำลังไหลเข้าสู่ประเทศที่ถูกพิจารณาว่าเป็นประเทศใกล้ชิดทางการเมือง ตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้าถึงการลงทุนที่ลดลงจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากการก่อตัวของทุนที่ลดลงและการเพิ่มผลิตภาพจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ที่ดีขึ้น” นักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าว