Kasikornthai – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 27 Jun 2023 09:34:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 KBTG เปิดตัวสำนักงานใหญ่ในเวียดนาม เตรียมปั้นเป็นฮับด้านเทคโนโลยีเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค https://positioningmag.com/1435567 Tue, 27 Jun 2023 08:11:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1435567 KBTG ได้เปิดตัวสำนักงานใหญ่ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งผู้บริหารนั้นมองว่าประเทศเวียดนามนอกจากจะมีเศรษฐกิจเติบโตแล้ว ยังมีศักยภาพในเรื่องทรัพยากรบุคคล โดยเตรียมที่จะปั้นให้เป็นฮับด้านเทคโนโลยีเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 หลังจากนี้

KBTG ได้เปิดตัวสำนักงานใหญ่ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่ 3 ในทวีปเอเชีย ต่อจากประเทศไทย และประเทศจีน โดยตั้งเป้าเป็นฮับด้านเทคโนโลยีเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 หลังจากนี้ ในรูปแบบธนาคารดิจิทัล

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงประเทศเวียดนามว่ามีเศรษฐกิจโต มีประชากรจำนวนมาก รวมถึงคาดการณ์ภายในปี 2030 ระดับ GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ไม่เพียงเท่านี้เวียดนามยังมีการทำ FTA กับหลายประเทศ รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของชาวเวียดนามส่งผลต่อธุรกิจธนาคาร และยังส่งผลดีต่อผู้ใช้งานในเวียดนาม

CEO ของธนาคารกสิกรไทยยังได้กล่าวเสริมว่าการก่อตั้ง KBTG Vietnam จะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Mobile Banking หรือแม้แต่ Digital Lending นอกจากนี้ชาวเวียดนามยังมีความสามารถที่เก่ง ทำให้สามารถพัฒนาประเทศ และนอกประเทศได้ เธอมองว่าการเปิดสำนักงานที่นี่ถือเป็นก้าวใหม่ในการเดินทางของ KBTG ด้วย

นอกจากนี้ขัตติยายังวางเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยนั้นจะเป็นธนาคารยุคใหม่แห่งภูมิภาค AEC+3 พร้อมเป้าหมายการเป็น 1 ใน 20 ธนาคารที่ดีที่สุดในประเทศเวียดนามได้ภายในปี 2027

ทักษะคนเวียดนามถือว่าสูงมาก

วรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman ของ กสิกร บิซิเนส- เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้กล่าวถึง การที่แรงงานของไทยลดลง เวียดนามเพิ่มขึ้นในช่วงหลังจากนี้ และยังมีคนจบการศึกษาในสาขา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ (STEM) ที่มีจำนวนสูงอันดับต้นๆ ในอาเซียน นอกจากนี้ทักษะการเขียนโปรแกรมของคนเวียดนามถือว่าดีอันดับต้นๆ ในภูมิภาค รวมถึงยังมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทยด้วย

ผู้บริหารของ KBTG รายนี้ยังกล่าวว่าการที่ KBTG มีบุคลากรมากฝีมือทั้งในประเทศไทย ประเทศจีน รวมถึงประเทศเวียดนาม จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกัน และยังสามารถดึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญในแต่ละส่วนมาประกอบกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิค รวมถึงทักษะด้านต่างๆ ที่สำคัญสำหรับองค์กรได้

ชูหลักการ 3S สำหรับสำนักงานในเวียดนาม

ธนุสศักดิ์ ธัญญสิริ Managing Director บริษัท KBTG Vietnam ได้กล่าวถึงหลักการ 3S โดยนำกรณีศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งมาใช้ เพื่อที่จะสามารถส่งมอบงานด้านซอฟต์แวร์ให้กับ KBTG ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. Speed เขาได้กล่าวถึงว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ KBTG Vietnam สามารถที่จะเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งเขาได้ยกตัวอย่างการนำ AI มาช่วยในการเขียนโปรแกรม
  2. Scale การเพิ่มขนาดเพื่อรองรับการขยายธุรกิจหรือรองรับความต้องการทั้งด้านไอทีและองค์กร ธนุสศักดิ์ยังได้เล่าถึงการจ้างงานในประเทศเวียดนามเพื่อที่จะทำให้มีทรัพยากรเก่งๆ เข้ามาทำงาน การเปิดสำนักงานในกรุงฮานอยเพื่อรองรับการทำงาน หรือแม้แต่ความร่วมมือกับสำนักงานในประเทศจีน หรือในไทย เพื่อที่จะพัฒนาความสามารถของ KPlus รองรับการใช้งานของคนเวียดนาม
  3. Sustain ปัจจุบัน KBTG ได้พยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือแม้แต่การพัฒนาบุคคลากร เพื่อที่จะตอบโจทย์ในเรื่องของความยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Positioning เก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปิดสำนักงานของ KBTG ในประเทศเวียดนาม

  • KBTG มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เหมาะกับคนเวียดนาม ซึ่งหลายอย่างไม่เหมือนในประเทศไทย เช่น ระบบไว้สำหรับไว้ซื้อขายของ โดยทีมงานจะสำรวจว่าคนในท้องที่ต้องการอะไร นอกจากนี้สำนักงานในเวียดนามนี้ยังมีพนักงานเป็นคนท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ มีคนไทยจำนวนไม่มากนัก
  • ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายว่า KPlus Vietnam มีคนใช้งาน 8.4 ล้านคนในปี 2027 จากเป้า 1.3 ล้านคนในปี 2023 และผู้ใช้งาน KPlus รวมกันถึง 100 ล้านคน โดยมองเป็น Regional Digital Bank ไม่ใช่แค่ให้บริการแต่ในประเทศไทยอย่างเดียว
  • KBTG เริ่มหาพนักงานตามเมืองต่างๆ ในเวียดนามเพิ่มขึ้น ล่าสุดผู้บริหารได้กล่าวว่าเริ่มดูเมืองดานังไว้ด้วย หลังจากที่ได้ไปเปิดสำนักงานในกรุงฮานอยมาแล้ว และหลังจากนี้อาจมีการเปิดสำนักงานที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมองถึงศักยภาพที่เหมือนกับประเทศเวียดนามเช่นกัน หลังจากที่ธนาคารกสิกรไทยได้ลงทุนในกิจการของธนาคารแมสเปี้ยน
]]>
1435567
เปิดใจ “บัณฑูร ล่ำซำ” ปิดฉาก 40 ปีนายแบงก์กสิกรไทย สู่ฉากชีวิต “รักษ์ป่าน่าน” เต็มตัว https://positioningmag.com/1272317 Wed, 08 Apr 2020 14:09:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1272317 บัณฑูร ล่ำซำ เปิดใจครั้งแรกหลังจากลาออกจากแม่ทัพใหญ่ของธนาคารกสิกรไทยในช่วงวิกฤตไวรัส COVID-19 ส่งต่อให้ 2 แม่ทัพหญิง เผยอิ่มตัวกับการทำธนาคาร ทีมงานแข็งแกร่งอยู่แล้ว หันหน้าเข้าป่าผลักดันโครงการ “รักษ์ป่าน่าน” เต็มตัว

กสิกรไทยยุคเปลี่ยนผ่าน จาก “ล่ำซำ” สู่ผู้บริหารมืออาชีพ

เป็นอีกหนึ่งข่าวช็อกวงการธนาคาร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “บัณฑูร ล่ำซำ” ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการและประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น พร้อมกับตั้ง “กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร” รองประธานกรรมการ (อิสระ) เป็นรักษาการประธานกรรมการ

ส่วน “ขัตติยา อินทรวิชัย” เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งจะเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารหญิงคนแรกของธนาคาร และเป็นคนแรกที่ไม่ใช่ตระกูลล่ำซำ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา

เท่ากับว่าธนาคารกสิกรไทยได้สิ้นสุดการบริหารของตระกูลล่ำซำ ส่งไม้ต่อให้กับผู้บริหารมืออาชีพอย่างเต็มตัว อีกทั้งยังเป็นผู้บริหารหญิงในการขับเคลื่อนธุรกิจท่ามกลางความท้าทายรอบด้านในตอนนี้

ธนาคารกสิกรไทยก่อตั้งในปี 2488 โดย “โชติ ล่ำซำ” มีศักดิ์เป็นปู่ของบัณฑูร หลังจบการศึกษาบัณฑูรได้เข้ารับราชการทหารประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม เป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะเข้าทำงานที่ฝ่ายกิจการต่างประเทศ ธนาคารกสิกรไทย เป็นครั้งแรกในปี 2522

ในปี 2537 ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง บัณฑูรเป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มนำการรื้อปรับกระบวนการทำงาน (Reengineering) มาใช้ในธุรกิจการเงินและเป็นองค์กรแรกของประเทศไทย

บัณฑูรได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ในปี 2545 และในปีถัดมาได้ปรับภาพลักษณ์องค์กรครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของธนาคารจาก Thai Farmers Bank เป็น KASIKORNBANK เปลี่ยนตราสัญลักษณ์ของธนาคาร และปรับรูปแบบการเขียนตัวอักษร K โดยใช้พู่กันจีน

ในปี 2553 เมื่อ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เพื่อไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย บัณฑูรจึงเข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ และปรับโครงสร้างการบริหารของธนาคารกสิกรไทย

หลังจาที่บัณฑูรได้ลาออกจากตำแหน่ง บอร์ดธนาคารกสิกรไทยมีมติเอกฉันท์ในการมอบฉายา “ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus)” ให้แก่บัณฑูร ซึ่งฉายานี้จะไม่เกี่ยวข้องกับการบริหาร แต่เป็นการยกย่องให้เกียรติที่ได้ร่วมงานกับธนาคารกสิกรไทยเป็นเวลา 40 ปี

อิ่มตัวกับธนาคารมา 40 ปี “ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”

บัณฑูรได้เปิดใจแก่สื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังจากที่ลงจากตำแหน่ง เป็นการแถลงข่าวผ่าน Facebook Live เหตุผลหลักคืออิ่มตัวกับการทำธนาคารแล้ว พูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว” อยากหาอะไรทำที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มองว่าการส่งไม้ต่อตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีเรื่องกังวล เพราะทีมงานเก่งทุกคน

บัณฑูร ล่ำซำ

“ตอนนี้เป็นอีกฉากหนึ่งของชีวิต ทำมาเต็มที่แล้ว ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ทำงานแบงก์มา 40 ปี อยากไปทำอย่างอื่นบ้าง สมควรแก่เวลาในการส่งต่ออย่างดี ตอนนี้ไม่มีความกังวลอะไรเลย แถมยังมีความสุขด้วย เพราะมั่นใจว่าทีมงานเก่งทุกคน จบฉากเดิมอย่างสบายใจ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของชีวิต”

บัณฑูรเสริมว่า ที่ผ่านมาเหมือนเป็นงานประจำวันได้ทำหมดแล้ว ต้องหาอะไรทำใหม่ๆ ไม่ซ้ำเดิม แต่จะใช้ประสบการณ์จากงานธนาคารในการมองโจทย์ของโลกการค้าขาย ช่วยการแก้ปัญหาต่างๆ

หันหน้าเข้าป่า ลุยโครงการ “รักษ์ป่าน่าน” เต็มตัว

นอกจากการบริหารงานธนาคาร บัณฑูรยังมีโปรเจกต์สำคัญก็คือ “โครงการรักษ์ป่าน่าน” หรือ Nan Sandbox เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2557 จุดประสงค์หลักคือการรักษาพื้นที่ป่าในจังหวัดน่าน ซึ่งบัณฑูรมีความหลงใหลในจังหวัดน่านถึงขนาดที่ว่าได้ย้ายทะเบียนบ้านไปเป็นพลเมืองน่านตั้งแต่ปี 2553 เลยทีเดียว

เหตุผลที่บัณฑูรในวัย 67 ปีได้วางมือจากเรื่องเงินๆ ทองๆ เพื่อที่จะหันหน้าเข้าธรรมชาติอย่างเต็มตัว ต้องการแก้ปัญหาเรื่องป่าต้นน้ำน่าน ต้องการหาองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการทำสิ่งที่มีประโยชน์ ในขณะที่สุขภาพยังดีอยู่

“โครงการ Nan Sandbox ทำมา 4-5 ปีแล้ว พื้นที่ป่ายังไม่ถึงกับได้คืนเท่าไหร่ มีพื้นที่ป่าที่เสียไป 28% ของป่าทั้งหมด ตอนนี้มีปัญหาเรื่องความเข้าใจของทุกฝ่ายมากขึ้นกว่าเดิม ยังต้องไปหาองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการจัดการ โจทย์คือ ต้องให้มนุษย์อาศัยอยู่กับป่าให้ได้ ใช้องค์ความรู้ของการทำมาหากินแบบใหม่ พูดแบบเดิมๆ มันไม่พอกิน”

บัณฑูรพูดแบบติดตลกว่า ตอนนี้อายุย่าง 68 ปีแล้ว ตรวจสุขภาพทุกส่วนยังแข็งแรง มีแต่ “ปาก” อย่างเดียวที่ต้องระวัง เพราะกวัดแกว่งเกินไป หลังจากเกษียณจากงานแบงก์อยากทำอะไรทีเป็นประโยชน์ ชีวิตจะมีความหมาย ทำอะไรที่ยังทำได้ ตอนที่สุขภาพยังดีอยู่

ส่งไม้ต่อช่วงนี้ดีที่สุด บทพิสูจน์สำคัญ

สำหรับประเด็นการลงจากเก้าอี้ แล้วส่งไม้ต่อให้กับ 2 ผู้บริหารหญิงในช่วงจังหวะสำคัญ เรียกว่าเป็นวิกฤตของประเทศจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 บัณฑูรบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะได้พิสูจน์ว่าสอบผ่านหรือไม่

บัณฑูรบอกว่าเหตุผลที่เลือก “กอบกาญจน์” นั่งแท่นรักษาการประธานกรรมการ เพราะเป็นคนเก่ง เป็นบุคลากรคุณภาพจากหลายแวดวง มีประสบการณ์ มีมุมมองหลากหลาย เป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ และมีคุณธรรม ทางด้านของ “ขัตติยา” เป็นคนเก่ง ใจดี มีเมตตา เฉียบคมทั้งด้านความรู้ และทางเทคนิค

“ที่ลงจากตำแหน่งในวิกฤตเป็นช่วงเวลาที่ดี แสดงว่าเชื่อมั่นในคณะผู้บริหาร เป็นการทดสอบทีมใหม่ ถ้ารับมือกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ ก็สามารถรับมือกับตอนไหนก็ได้ จังหวะนี้จึงดีที่สุด เป็นเวลาของเธอที่จะรับโจทย์ยากๆ และก็โชคดีที่จัดการเรื่องต่างๆ เข้าที่มานานแล้ว ส่งไม้ต่อได้ทันที ทุกระดับมีความพร้อม”

สำหรับฉายา “ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus)” ที่บอร์ดบริหารมอบให้นั้น บัณฑูรบอกว่า เป็นแค่ฉายา ไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ต้องมีงานทำ ไม่ต้องทำอะไร และไม่ร่วมอยู่ในคณะบริหาร

ยันไม่เล่นการเมือง เป้าหมายทำตัวให้เป็นประโยชน์

หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยมากที่สุดว่า หลังจากทิ้งบทบาทนายแบงก์แล้ว จะหันหน้าเข้า “การเมือง” หรือไม่ บัณฑูรตอบอย่างไม่หยุดคิดเลยว่าไม่ลงเล่นการเมืองแน่นอน

และถ้าถามว่า ในอนาคตกสิกรไทยจะมีโอกาสได้ถูกบริหารภายใต้ตระกูล “ล่ำซำ” อีกหรือไม่ บัณฑูรบอกว่า

“ล่ำซำจะมาบริหารต่อไปหรือไม่ยังไม่รู้ ที่แน่ๆ ไม่ใช่ลูกผมแน่ๆ ส่วนลูกคนอื่นผมไม่ทราบ ตอนนี้ล่ำซำแยกย้ายไปทำเรื่องต่างๆ ความเป็นเจ้าของในจำนวนหุ้นก็น้อยเต็มที ละลายหายไปกับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีแต่ชื่อ นามสกุลที่ทิ้งไว้เท่านั้น”

สุดท้ายแล้วบัณฑูรได้ฝากถึงวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งตอนปี 2540 ไว้ว่า

“วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นพายุคนละแบบกัน ตอนต้มยำกุ้งเป็นพายุของความโลภของมนุษย์ที่เกินพอดี ก็เกิดความเสียหาย โรคระบาดโทษมนุษย์โดยตรงไม่ได้ เกิดความเสียหายต่อการเป็นอยู่ เกิดความหยุดชะงักของการทำมาหากิน มีกินน้อยลงชั่วคราว หวังว่าคงจะแก้ทัน ส่วนโจทย์ใหญ่หลัง COVID-19 หนีไม่พ้นเรื่องความรู้ใหม่ๆ เพราะความรู้เดิมๆ ใช้ไม่ได้ ประเทศที่ไม่มีการพัฒนาความรู้ใหม่ไม่มีทางสู้ได้”

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1272317