Live Concert – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 22 Aug 2023 13:58:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 UOB- The EM District ร่วมปั้น “ยูโอบี ไลฟ์” ฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่ใน THE EMSPHERE รองรับ 6,000 คน https://positioningmag.com/1441251 Thu, 17 Aug 2023 15:45:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441251 UOB และ The EM District รวมถึง AEG ร่วมปั้น “ยูโอบี ไลฟ์” ฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่ใน THE EMSPHERE รองรับ 6,000 คน คาดว่าในแต่ละปีจะสามารถจัดงานต่างๆ ได้มากถึง 100 งาน โดยจะเน้นไปที่การจัดคอนเสิร์ตและกีฬาเป็นหลัก

ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารยูโอบีประเทศไทย, ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) รวมถึง เออีจี (AEG) ประกาศความร่วมมือในการให้สิทธ์ยูโอบีใช้ชื่อแบรนด์ ยูโอบี ไลฟ์ (UOB LIVE) ศูนย์กลางการจัดงานแห่งใหม่ที่ครบครันและล้ำสมัยที่สุดในอาเซียน

การให้สิทธิ์ใช้ชื่อ UOB LIVE นั้นจะมีอายุ 5 ปี นับตั้งแต่การเปิดใช้งานวันแรก คาดว่าจะมีการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า และเริ่มมีการติดต่อขอใช้พื้นที่ดังกล่าวบ้างแล้วด้วย

ขณะที่ ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และ ดิ เอ็มดิสทริค ได้เล่าถึง AEG มีแผนจะขยายธุรกิจ โดยบอร์ดผู้บริหารบอกว่ายุโรปน่าสนใจ แต่ Philip Anschutz ซึ่งเป็นเจ้าของ AEG กลับไม่เห็นด้วย

หัวเรือใหญ่ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป รายนี้ได้แนะนำประเทศไทยไปหลังจากการเข้าพบกับเจ้าของ AEG ซึ่งเขาเองเห็นด้วยกับแผนการดังกล่าวนี้ เธอยังได้พาบอร์ดผู้บริหารมาเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเธอมองว่าไทยสามารถผลักดัน World Class Entertainment ได้ และต่างฝ่ายต่างจริงจังในเรื่องนี้เช่นกัน

UOB LIVE นี้สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ถึง 6,00 คน โดยที่โฟกัสหลักจะอยู่ที่งานประเภทคอนเสิร์ต และ กีฬา แต่สามารถรองรับจัดงานประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น งานสัมมนา หรือแม้แต่งานแต่งงานได้เช่นกัน โดยคาดว่าในแต่ละปีจะมีการจัดงาน 100 งานต่อปี แต่จะเน้นไปที่คอนเสิร์ตกับกีฬาเป็นหลัก

โดยฮอลล์ดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งในไฮไลต์ของ ดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE) ศูนย์การค้าแห่งใหม่ ที่มาพร้อมกับแหล่งช็อปปิ้งระดับโลก ตัวเลือกร้านอาหารที่หลากหลาย และพื้นที่สำหรับความบันเทิง

ตัน ชุน ฮิน (ที่ 3 จากด้านซ้าย), ศุภลักษณ์ อัมพุช (กลาง), อดัม วิลคส์ (ที่ 4 จากด้านขวา)

อดัม วิลคส์ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่ยุคใหม่ด้านความบันเทิง โดย UOB LIVE จะเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคต ด้วยการมอบประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ผ่านความร่วมมือของ AEG, UOB และ เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดกิจกรรมระดับเวิลด์คลาสเพื่อสร้างช่วงเวลาสุดพิเศษที่น่าจดจำให้กับผู้เข้าชมงานทั้งในไทยและระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้เล่าถึงสาเหตุที่จะทำให้ศิลปินต่างชาติไม่เข้ามาในประเทศไทย สาเหตุส่วนหนึ่งที่เขามองเป็นเพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่ไม่ดี

สำหรับความร่วมมือกับ UOB และ AEG นั้นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินจากประเทศสิงคโปร์รายนี้ได้จับมือกันโดยการให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าบัตรเครดิตของ UOB สามารถที่จะซื้อบัตรคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่ประเทศสิงคโปร์ได้ก่อนเพื่อน ก่อนที่จะมาจับมือกับ The EM District และ AEG อีกครั้งในกรุงเทพ

ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของ UOB LIVE ที่ The EM District อยู่ที่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เม็ดเงินอีก 350 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นทาง AEG และ The Mall Group ได้ลงทุนในฮอลล์จัดอีเวนต์ที่ Bangkok Mall แต่ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องของการให้สิทธิ์ใช้ชื่อแต่อย่างใด

ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ UOB LIVE รวมไปถึงกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะประกาศให้ทราบอีกครั้งในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ทาง The EM District และ AEG ก็กำลังคุยกับผู้สนับสนุนรายอื่นๆ (Founding Sponsor) ของฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่นี้ด้วย โดยเบื้องต้นมีทั้งแบรนด์รถยนต์ รวมถึงแบรนด์เครื่องดื่มเข้าร่วมแล้ว

]]>
1441251
รู้หรือไม่ Taylor Swift ทำรายได้มากกว่า 452 ล้านบาทต่อคืน ในการทัวร์คอนเสิร์ตรอบล่าสุด https://positioningmag.com/1436588 Wed, 05 Jul 2023 03:44:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436588 Taylor Swift นักร้องสาวชาวสหรัฐฯ ที่กำลังจะเดินทางมาทัวร์คอนเสิร์ตในทวีปเอเชียในช่วงปี 2024 นี้ เธอได้ทำรายได้ในการทัวร์คอนเสิร์ตในแต่ละคืนมากกว่า 13 ล้านเหรียญสหรัฐต่อคืน หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 452 ล้านบาท และจะทำให้เธอกลายเป็นศิลปินที่สร้างรายได้จากการออกทัวร์คอนเสิร์ตมากที่สุด

อ้างอิงข้อมูลจาก Pollstar ซึ่งเป็นสื่อที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิง รายงานว่านักร้องสาวชาวสหรัฐฯ ทำเงินจากการทัวร์ในสหรัฐฯ มากถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลา 22 วันของการทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งในตางรางการแสดงของเธอในสหรัฐอเมริกามีทั้งหมด 50 ทัวร์ด้วยกัน

ขณะเดียวกัน Pollstar ได้ประเมินว่าการทัวร์คอนเสิร์ตของเธอในต่างประเทศในชื่อ Eras Tour นั้นอาจทำเงินได้มากถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโชว์ของ Taylor Swift ถือเป็นทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปิน 7 ใน 25 ที่ขายดีสุดและมีตั๋วคอนเสิร์ตเฉลี่ยมากกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ

ไม่เพียงเท่านี้ทัวร์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ถ้าหากไปย้อนดูราคาตั๋วคอนเสิร์ตเฉลี่ยจะอยู่ไม่เกิน 120 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าหากทัวร์ล่าสุดของเธออย่าง Eras Tour เฉลี่ยราคาตั๋วออกมาแล้วจะอยู่ที่ราวๆ 254 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 8,800 บาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า

นอกจากนี้ถ้าหากเทียบ Eras Tour กับ Speak Now ซึ่งเป็นทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของ Taylor Swift เองนั้นค่าตั๋วคอนเสิร์ตของเธอเพิ่มขึ้นมามากกว่า 3 เท่าแล้ว

ข้อมูลจาก Pollstar เองยังชี้ถึงราคาตั๋วคอนเสิร์ตในปัจจุบันที่แพงมากขึ้น ซึ่งถ้าหากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วตั๋วคอนเสิร์ตที่มีราคาเฉลี่ยเกิน 200 ดอลลาร์สหรัฐนั้นมีเพียงแค่ Britney Spears และ Celine Dion โดยราคาเฉลี่ยของตั๋วคอนเสิร์ตของศิลปินที่ขายดี 25 รายนั้นอยู่ที่ราวๆ 136 ดอลลาร์เท่านั้น

อย่างไรก็ดีไม่ว่าตั๋วคอนเสิร์ตของ Taylor Swift จะมีราคาแพงในปัจจุบันมากแค่ไหน แต่แฟนคลับของเธอทั่วโลกมากถึงหลักล้านคนต่างรอแย่งที่จะเข้าชมการแสดงของเธอ ส่งผลทำให้เธออาจเป็นศิลปินที่รับรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตมากที่สุดในปี 2023 ได้

]]>
1436588
ส่งต่อความมันส์ฉบับ LEO Music Traveller เมื่อเเบรนด์ปรับรับ “คอนเสิร์ตออนไลน์” ยุคใหม่ https://positioningmag.com/1298830 Sat, 26 Sep 2020 04:00:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1298830
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ธุรกิจดนตรี” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างหนักหนาเช่นกัน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ต้องงัดสารพัดกลยุทธ์ มารับมือกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุค New Normal ที่เปลี่ยนเเปลงไป วงการดนตรีจึงไม่ใช่เเค่ศิลปินเเละบทเพลงเท่านั้น เเต่ยังครอบคลุมไปถึงการพบปะเเละสื่อสารกับผู้คน อย่างการโปรโมท งานอีเวนต์ เเฟนมีตติ้ง รวมถึงการจัดเเสดง “คอนเสิร์ต” กิจกรรมบันเทิงสุดโปรดของใครหลายคน

ในช่วงวิกฤต COVID-19 การจัดคอนเสิร์ตในสถานที่โล่งเเจ้งที่มีคนเยอะๆ ไม่สามารถทำได้เช่นเดิม ทำให้การจัด “คอนเสิร์ตออนไลน์” กลายมาเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่เป็นเสมือนทางรอดของเอนเตอร์เทนเมนต์อีเวนต์ ที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นศิลปินค่ายต่างๆ ออกมาจัด Live Concert เอง ที่มีทั้งเเบบชมฟรีและเสียเงิน รวมถึงการจัดงานแฟนมีตติ้งออนไลน์ที่เปิดพื้นที่ให้ได้เเฟนคลับได้ใกล้ชิดเเบบ Virtual

ซึ่งหลายงานได้รับกระเเสตอบรับที่ดีมาก จนบัตรขายหมดเกลี้ยง เเม้เศรษฐกิจช่วงนี้จะฝืดเคืองก็ตาม จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เเบรนด์จะเข้ามาสนับสนุนเพื่อต่อยอดการสื่อสารไปยังผู้บริโภคในวงกว้างได้อีกด้วย

ล่าสุดกับคอนเสิร์ตออนไลน์ที่น่าจับตามองอย่าง “LEO Music Traveller” ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 3 หลังได้ฟีดเเบ็กที่ดีเยี่ยมจากผู้ชม ด้วยคอนเซปต์เเปลกใหม่ พาศิลปินต่างวง ต่างค่าย เจ้าของเพลงฮิต ติดกระแส มา #รวมกันมันส์กว่า เป็นครั้งแรก พร้อมเปลี่ยนบรรยากาศจากคอนเสิร์ตออนไลน์ในบ้านหรือในสตูดิโอแบบเดิม ๆ ออกไปดูคอนเสิร์ต Outdoor ท่ามกลางบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่หลายคนคิดถึงให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกัน

โดย LEO Music Traveller ครั้งเเรกจัดขึ้นในธีม “ทะเล” ที่มีศิลปินชื่อดังอย่าง Tilly Birds, Ink Waruntorn, Three Man Down เเละ  Klear เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ตามมาด้วยครั้งที่ 2 ตามคำเรียกร้องของเเฟนเพลงในธีม “ภูเขา” กับศิลปินยอดนิยมอย่าง Zom Marie, Indigo, Zeal เเละ Clash ในช่วงเดือน ก.ค.

จากนั้นมาถึงคิวของ LEO Music Traveller ครั้งที่ 3 ที่เพิ่งจัดไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ด้วยความพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ได้เป็นเเค่ Live Concert ธรรมดา แต่เป็นคอนเสิร์ตออนไลน์บนเรือ LEO ล่องไปตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา เผยให้เห็นบรรยากาศของวิวกรุงเทพสวยๆ เเสงของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปตั้งแต่เย็นจนค่ำ เห็นวิวตึกและแสงไฟยามค่ำคืน วิวสะพานสวยๆ วิวแหล่งท่องเที่ยวริมน้ำต่างๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีเพราะ ๆ จากศิลปินขวัญใจมหาชนอย่าง Whal & Dolph, The Parkinson, Polycat เเละ Atom ซึ่งได้มีการแสดงโชว์พิเศษด้วยการรวมตัว “ร้องเพลงด้วยกัน” เป็นครั้งแรกอีกด้วย

รับชมย้อนหลัง

สิ่งที่เเตกต่างเเละถือว่าเป็น “ลูกเล่น” ในการจัด Live Concert ครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีนั่นก็คือ ตลอดช่วงการจัดเเสดง เหล่าศิลปินจะมี “Interaction” พูดคุยกับแฟนๆผู้ชมที่ดูผ่านหน้าจอให้ได้มีส่วนร่วมและสนุกไปด้วยกันเหมือนได้ไปอยู่ในคอนเสิร์ตเเบบใกล้ชิดศิลปินจริงๆ เช่น การคอมเมนต์ Emoji เพื่อแสดงภาพกราฟฟิกหรือเอฟเฟกต์ขณะโชว์ที่ทำให้ภาพในคอนเสิร์ตน่าตื่นเต้นและสวยงามกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังมีการทำ Fan Project ชวนแฟนๆ ร่วมส่งต่อความรักเเละให้กำลังใจศิลปินที่ตัวเองชอบ เหมือนได้อยู่หน้าเวที เช่น การกด Love ให้ครบตามกำหนด เพื่อให้ศิลปินใส่พร๊อพน่ารักๆ หรือจับมือกับแฟนๆ แบบ New Normal

เเละสิ่งที่ชอบมากๆ ใน LEO Music Traveller ครั้งนี้ ก็คือการให้แฟนๆ กดโหวตเลือกเพลงหรือสไตล์เพลงที่อยากให้ศิลปินร้องให้ฟัง เช่น เพลงอกหัก กับเพลงแอบรัก เพลงเร็วสนุกๆ หรือเพลงมันส์ๆ เเละยังมีการให้แฟนๆ กดแชร์ออกไปตามยอดที่ศิลปินร้องขอและกำหนดไว้ เพื่อแลกกับ บทเพลงที่ศิลปินไม่ค่อยได้ร้องที่ไหน หรือเป็นเพลงในเวอร์ชันพิเศษที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน

เเน่นอนว่าจากกระเเสตอบรับล้นหลาม แฟนๆ คงได้รอลุ้นชมครั้งต่อไปเป็นเเน่เเท้  โดยในช่วงนี้ เราจะได้เห็นการปรับตัวของแบรนด์เพื่อเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการสื่อสารเรื่องการสังสรรค์เเละดูคอนเสิร์ตรูปเเบบใหม่ในยุค COVID-19 ที่เเม้จะยังคงต้อง “เว้นระยะห่าง” เเต่ก็ยังรู้สึกสนุกเหมือนเดิมได้ ตามสไตล์ #NewNormalมันส์กว่า

นี่จึงเป็นอีกก้าวของเเบรนด์ LEO ที่ยังคงไม่หยุดส่งต่อความมันส์ สร้างสรรค์คอนเสิร์ตดีๆ ให้กับผู้ชมตลอดช่วง COVID-19 ทั้งแคมเปญ LEO Live Muzik ที่ให้ศิลปินส่งความสนุกให้คนดูจากที่บ้าน พัฒนาต่อยอดมาเป็น LEO Fest From Home ซึ่งเป็นการ Live มาราธอนยาวถึง 12 ชั่วโมง และก็มาเป็น LEO Music Traveller ที่ออกไป Live ในบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยว เเละเเม้ตอนนี้คอนเสิร์ตเเบบปกติจะยังไม่สามารถจัดได้ เเต่การที่เเบรนด์เดินหน้าทำ Music Marketing ส่งความมันส์แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็นับเป็นการสื่อสารกับผู้บริโภคในยามวิกฤตที่ได้ผลดีทีเดียว

]]>
1298830