LWS – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 04 Mar 2025 04:23:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ธุรกิจอสังหาขาลง กำไรปี 67 หดตัว 27% https://positioningmag.com/1513388 Mon, 03 Mar 2025 15:45:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1513388 ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจาก รายได้และกำไรของผู้ประกอบการ อสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลดลงต่อเนื่อง (อ้างอิง LWS wisdom)

  • ปี 2567 รายได้รวม 313,634 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ที่มีรายได้ 326,722 ล้านบาท
  • ปี 2567 กำไรสุทธิ 27,426 ล้านบาท ลดลง 27% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ที่มีทำได้ 37,653 ล้านบาท

“ความสามารถในการทำกำไรปี 2567 ของบริษัทอสังหาอยู่ที่ 8.74% ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 11.52%“

Top 10 อสังหา ทำรายได้สูงสุด ในปี 2567 ได้แก่

อันดับ 1 แสนสิริ 39,204 ล้านบาท (+2%)

อันดับ 2 เอพี 37,460 ล้านบาท (-2.4%)

อันดับ 3 ศุภาลัย 31,984 ล้านบาท (+0.5%)

อันดับ 4 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 28,151 ล้านบาท (-6.6%)

อันดับ 5 พฤกษา 20,995 ล้านบาท (-19%)

อันดับ 6 เอสซี แอสเสท 20,302 ล้านบาท (-17%)

อันดับ 7 สิงห์ เอสเตท 15,361 ล้านบาท (-3.5%)

อันดับ 8 เฟรเซอร์ส 14,566 ล้านบาท (-13%)

อันดับ 9 ออริจิ้น 11,985 ล้านบาท (-20%)

อันดับ 10 โนเบิล 10,994 ล้านบาท (+21%)

Top 10 อสังหาทำกำไรสูงสุด ปี 2567 ได้แก่

อันดับ 1 ศุภาลัย 6,189 ล้านบาท (+3.3%) กำไรขั้นต้น 19%

อันดับ 2 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 5,490 ล้านบาท (-26%) กำไรขั้นต้น 19%

อันดับ 3 แสนสิริ 5,252 ล้านบาท (-13%) กำไรขั้นต้น 13%

อันดับ 4 เอพี 5,020 ล้านบาท (-17%) กำไรขั้นต้น 13%

อันดับ 5 ควอลิตีเฮาส์ 2,105 ล้านบาท (-14%) กำไรขั้นต้น 24%

อันดับ 6 เอสซี 1,705 ล้านบาท (-31%) กำไรขั้นต้น 8.4%

อันดับ 7 แอสเสทไวซ์ 1,456 ล้านบาท (+33%) กำไรขั้นต้น 14%

อันดับ 8 เฟรเซอร์ส 1,438 ล้านบาท (-22%) กำไรขั้นต้น 9.8%

อันดับ 9 ออริจิ้น 1,051 ล้านบาท (-61%) กำไรขั้นต้น 8.7%

อันดับ 10 ลลิล 588 ล้านบาท (-29%) กำไรขั้นต้น 16%

สำหรับสินค้าคงเหลือ รวมกับสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของบริษัทอสังหาฯ ทั้ง 38 บริษัท ปี 2567 อยู่ที่ 716,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% (YoY) จากมูลค่า 666,526 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566

  • แสนสิริ มีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างสูงสุดที่ 101,582 ล้านบาท
  • ศุภาลัย มีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 74,641 ล้านบาท
  • เอพี มีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 71,240 ล้านบาท
  • แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 64,609 ล้านบาท
  • เอสซี มีสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 48,687 ล้านบาท

“บริษัทอสังหาฯ มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจโดยเน้นการบริหารสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้น ทำให้เน้นการทำแคมเปญด้านการตลาด โดยใช้กลยุทธด้านราคา ส่งผลให้กำไร และความสามารถในการทำกำไรลดลง” ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ LWS wisdom กล่าว

]]>
1513388
LWS เปิด 3 ฉากทัศน์ “อสังหา ปี 68” ในวันที่กำลังซื้อหด รีเจกต์เรตสูง 70% https://positioningmag.com/1508182 Mon, 27 Jan 2025 05:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508182 LWS คาดอสังหาปี 68 ชะลอตัว รีเจกต์เรตสูง 70% ปัญหาใหญ่ ซ้ำโครงการบ้านเพื่อคนไทย แย่งกำลังซื้อกลาง-ล่าง ที่มีสัดส่วนถึง 40% ของตลาดรวม

ปี 67 ยอดเปิดตัวลดลงเกือบ 40%

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) บริษัทวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ในเครือ LPN เปิดเผยว่า ภาคอสังหาฯ ยังอยู่ในช่วงไม่สดใสนัก ปัญหาใหญ่ มาจากสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้รีเจกต์เรตสูง 70% โดยเฉพาะกลุ่มบ้าน-คอนโด ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท

ส่วนผู้ประกอบการก็เปิดตัวโครงการลดลง จาก Project Finance ที่แบงก์กำหนดให้มียอดขาย 30-50% เสียก่อนจึงปล่อยกู้ทำโครงการได้

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS)
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS)

ส่งผลให้ปี 2567 เปิดตัวโครงการใหม่ 60,386 หน่วย ลดลง 39.01% (YoY) มูลค่ารวม 407,204 ล้านบาท ลดลง 25.18% (YoY)

และคาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะลดลง ประมาณ 3-5% (YoY) จากที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 705,389 ล้านบาท ลดลง 8% จากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 766,971 ล้านบาท

คาดการณ์ 3 ฉากทัศน์ อสังหาปี 68

ทั้งนี้ LWS คาดแนวโน้มการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2568 ว่ามีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2567

โดยประเมินความเป็นไปได้ในการเปิดตัวโครงการใหม่ใน 3 ฉากทัศน์ ใช้การคำนึงถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ กำลังซื้อ ดังนี้

1.กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) คาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.8-3% ท่องเที่ยวฟื้นเท่าก่อนโควิด ส่งออกโตแม้ถูกกีดกันการค้า และหนี้ครัวเรือนดีขึ้น

การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2568 ประมาณ 62,000-65,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 403,000 – 422,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 3 – 7% เมื่อเทียบกับปี 2567 

คาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศในปี 2568 ประมาณ 360,000-370,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.02-1.03  ล้านล้านบาท หรือเติบโต 1-2% จากปี 2567

โครงการบ้านจัดสรร 

2.กรณีปกติ (Base Case) คาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตประมาณ  2-2.5% ภาคการส่งออกชะลอตัวผลมาตรการกีดกันทางการค้า การลงทุนของภาครัฐล่าช้า ส่วนภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง

การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในปี 2568 ประมาณ 56,000 – 61,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 364,000 – 403,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 หรือ เติบโตไม่เกิน 2%

อัตราการโอนกรรมสิทธิ์จะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2567 คือประมาณ 1.012 ล้านล้านบาท 

3.กรณีที่แย่ที่สุด (Worst Case) คาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยกว่า 2% ภาคการส่งออกชะลอตัว การลงทุนของภาครัฐไม่ตามเป้า การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ภาระหนี้ครัวเรือนสูง อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับเกินกว่า 2% แต่ท่องเที่ยวยังโต

การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2568 ปรับลดลงมาใกล้เคียงกับปี 2567 หรือลดลงไม่น้อยกว่า 5%

ในขณะที่อัตราการโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มที่จะติดลบเมื่อเทียบกับปี 2567 หรือมีมูลค่าน้อยกว่า 1.012 ล้านล้านบาท 

3 ฉากทัศน์อสังหาปี 68 โดย LWS
3 ฉากทัศน์อสังหาปี 68 โดย LWS

บ้านเพื่อคนไทย ดูดซับกำลังซื้อกลาง-ล่าง

ทั้งนี้ โครงการบ้านเพื่อคนไทยของรัฐบาล เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะมาดูดซับกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในระดับกลาง – ล่าง คิดเป็นสัดส่วนกำลังซื้อไม่น้อยกว่า 40% ของตลาด

ด้วยเงื่อนไขที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และบางทำเลของโครงการบ้านเพื่อคนไทย อยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกอย่างทำเล ก.ม.11 ที่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้า เป็นทำเลที่มีศักยภาพและสามารถดึงดูดกำลังซื้อจากกลุ่มผู้ซื้อระดับกลาง กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่

จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องทบทวนและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับกำลังซื้อในตลาด

ขณะที่มาตรการของรัฐ อย่างการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่หมดอายุไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนในการซื้อที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ถึงแม้บริษัทอสังหาฯ อาจจะยังคงลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองให้กับลูกค้าเอง เพื่อจูงใจให้มีการซื้อและโอนที่อยู่อาศัยก็ตาม แต่ก็ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการสูงขึ้น

“ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นที่จะต้องทบทวน และ หามาตรการทางการตลาดที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับกำลังซื้อในปัจจุบัน การชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ และเน้นการขายสินค้าคงเหลือที่เป็นต้นทุนเดิม จึงเป็นทางเลือกของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในปี 2568”

]]>
1508182
LWS คาดการณ์ “อสังหาฯ” ปี 2567 เปิดใหม่กระเตื้องขึ้น 3-5% ยอดโอนทรงตัวเท่าปีนี้ https://positioningmag.com/1456567 Wed, 20 Dec 2023 22:31:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456567
  • LWS เปิดผลวิจัยคาดการณ์ “อสังหาฯ” กรุงเทพฯปริมณฑลปี 2567 กรณีปกติ (Base Case) มูลค่าเปิดตัวใหม่อาจเติบโตได้ 3-5% ส่วนยอดโอนกรรมสิทธิ์น่าจะทรงตัวเท่ากับปีนี้
  • ด้านตลาดอสังหาฯ ปี 2566 คาดปิดปีนี้จำนวนหน่วยเปิดใหม่ลดลง 5-8% แต่มูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 10-15% เนื่องจากโครงการที่พักอาศัยในกลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปเปิดตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก
  • “ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยคาดการณ์แนวโน้มการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2567 วิเคราะห์ความเป็นไปได้ออกเป็น 3 ทาง (3-Scenarios) อ้างอิงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ

    กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) 

    • สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 3.5-4.0% ตามการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
    • นโยบายดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 500,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในไตรมาสสองของปี 2567
    • ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
    • ราคาพลังงานทรงตัวในระดับที่ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5%
    • จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ประมาณ 110,000-115,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 497,000-520,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2566
    • คาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศในปี 2567 ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 3% จากปี 2566

    กรณีปกติ (Base Case)

    • สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตประมาณ 2.5-3.0%
    • ภาคการส่งออกฟื้นตัว แต่การลงทุนของภาครัฐล่าช้าจากแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะโครงการแจกเงินดิจิทัลที่อาจจะล่าช้าจากแผนออกไปเริ่มได้ในไตรมาส 3-4 ของปี ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
    • ราคาพลังงานทรงตัวในระดับที่ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5%
    • คาดว่าจะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ประมาณ 107,000-110,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 481,000-497,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 3-5%
    • อัตราการโอนกรรมสิทธิจะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2566 คือประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท

    กรณีที่แย่ที่สุด (Worst Case)

    • สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยกว่า 2.5%
    • ภาคการส่งออกทรงตัว ขณะที่การลงทุนของภาครัฐไม่สามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะโครงการแจกเงินดิจิทัลที่อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากข้อจำกัดของกฎหมายและประเด็นทางการเมือง ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
    • ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ผลจากสถานการณ์สงครามที่ยืดเยื้อทั้งในฉนวนกาซ่าและยูเครน ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับเกินกว่า 2%
    • ทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ปรับลดลงมาใกล้เคียงกับปี 2566 หรือลดลงไม่น้อยกว่า 5% 
    • ในขณะที่อัตราการโอนกรรมสิทธิมีแนวโน้มที่จะติดลบเมื่อเทียบกับปี 2566 หรือมีมูลค่าน้อยกว่า 1.07 ล้านล้านบาท

    อสังหาฯ 2567

    ภาพรวม “อสังหาฯ” ปี 2566 หน่วยเปิดตัวลดลง แต่มูลค่าสูงขึ้น

    ด้านตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2566 LWS มีการประเมินโครงการอสังหาฯ เปิดตัวใหม่ คาดจะมีหน่วยเปิดตัวลดลง 5-8% จากปีก่อนหน้า เหลือจำนวน 106,000 หน่วย แต่มูลค่าการเปิดตัวจะปรับสูงขึ้นประมาณ 10-15% จากปีก่อนหน้า ขึ้นมามีมูลค่า 474,000 ล้านบาท

    เหตุที่หน่วยเปิดตัวลดลงแต่มูลค่ากลับสูงขึ้น เนื่องจากสัดส่วนการเปิดตัวที่อยู่อาศัยราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปเพิ่มขึ้นมาก โดยกลุ่มราคานี้มีสัดส่วนสูงถึง 34% ของโครงการเปิดตัวใหม่ทั้งหมดในปี 2566

    จากการเปิดตัวที่อยู่อาศัยระดับบนเพิ่มขึ้น ทำให้ปีนี้ราคาที่อยู่อาศัยเปิดใหม่โดยเฉลี่ยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลขึ้นมาอยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นถึง 17.38% จากปีก่อนราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.43 ล้านบาทต่อหน่วย

    อย่างไรก็ตาม อัตราการขายเฉลี่ยปี 2566 ถือว่าลดลงจากปีก่อน โดยมีอัตราการขายในวันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 17% เท่านั้น เทียบกับปี 2565 ที่มีอัตราการขายในวันเปิดตัวโครงการที่ 29%

    เมื่ออัตราการขายช้าลง ทำให้ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้างของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 39 บริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 อยู่ที่ 663,188.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.43% เทียบกับมูลค่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ของบริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว สต็อกสะสมเหล่านี้ต้องใช้เวลาระบายสินค้าประมาณ 2 ปี 6 เดือน

     

    4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบอสังหาฯ ปี 2567

    สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นอกจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะส่งผลกระทบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 แล้วมีอีก 4 ปัจจัยเสี่ยงที่กระทบโดยตรงต่อภาคอสังหาฯ จะสะท้อนถึงปลายทางราคาที่อยู่อาศัยปรับสูงขึ้นได้ ได้แก่

    1. อัตราดอกเบี้ย มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และผู้ซื้อที่อยู่อาศัย
    2. การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาลที่ 400 บาทต่อวัน ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2567 กระทบโดยตรงต่อต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
    3. ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนในการก่อสร้างและระดับราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นในปี 2567
    4. ความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน เป็นปัจจัยที่กระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อในตลาด โดยในปี 2566 มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ที่ระดับ 60-65% จากยอดการขออนุมัติสินเชื่อ และในปี 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงมีนโยบายทางการเงินที่ เข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง และสัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในสัดส่วนที่สูง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในตลาด โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อหน่วย

    อสังหาฯ 2567

    จากปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจดังกล่าว ประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า LWS แนะนำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับกลยุทธ์การขายมาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อการมีที่อยู่อาศัย โดยเพิ่มการให้คำแนะนำในการบริหารจัดการทางการเงินให้กับลูกค้าเพื่อให้ได้รับการพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่มักจะถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอาชีพอิสระ ทำให้มีฐานรายได้ไม่แน่นอน

    “การวางแผนและการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถก้าวข้ามความเสี่ยงและความผันผวนที่เกิดขึ้นและรักษาการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น” ประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

    ]]>
    1456567