ตลาดอสังหาฯ Q3/66 ทรุดแรง -13.6% ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น

REIC สำรวจดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ Q3/66 พบหดตัวจากปีก่อนถึง -13.6% ตลาดซึมทั้งฝั่งซัพพลายและดีมานด์ จากปัจจัยลบทั้งเศรษฐกิจฝืด หนี้ครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น ส่อแววทั้งปีนี้ตลาดรวมน่าจะติดลบเช่นกัน

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC)  เปิดเผยว่า ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ของประเทศไทยในไตรมาส 3 ปี 2566 ลดลง -13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และลดลง -8.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566

แนวโน้มดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะเห็นได้ว่ากราฟเริ่มเป็นขาลงมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 แต่เห็นการหดตัวที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ การหดตัวในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเป็นการลดลงทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ ได้แก่

  • การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลง -10.0%
  • อัตราดูดซับห้องชุดใหม่ลดลง -3.6%
  • อัตราดูดซับบ้านแนวราบใหม่ลดลง -2.0%
  • ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนลดลง -9.6%
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดลง -2.1 จุด

REIC ประเมินว่าตลาดที่ซึมลงอาจมาจากปัจจัยลบหลายด้าน เช่น

  • การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. ที่กระทบต่อคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านสัญญาที่ 2 และ 3
  • ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 90 ของ GDP
  • ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ที่ปรับขึ้นมาแล้ว 5 ครั้ง (ม.ค.-ก.ย.2566) หรือเพิ่มขึ้น 125 bps ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยให้ลดลงโดยตรง
  • เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า โดยจีดีพีไทยในไตรมาส 3 ปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.5%

ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีรายได้เพิ่มขึ้นน้อย แต่กลับมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น จึงทำให้ความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระลดลง กระทบต่อยอดขายที่อยู่อาศัยโดยตรง

REIC คาดว่า ภาพรวมดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงจากปี 2565 เล็กน้อย โดยจะปรับลงมาอยู่ที่ 89.8 จุด หรือลดลง ประมาณร้อยละ –3.0 สำหรับกรณีฐาน (Base Case) แต่หากมีปัจจัยบวกที่ดีกว่าที่คาดไว้อาจจะมีการปรับเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 98.8 หรือ ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 6.7 (Best Case) ในทางตรงข้าม หากมีปัจจัยที่ส่งผลรุนแรงกว่าที่คาดไว้ อาจจะปรับตัวลดมาอยู่ที่ระดับ 80.8 หรือลดลงร้อยละ -12.7 (Worst Case)