mulan – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 18 Sep 2020 11:41:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ตรวจรายได้ “Mulan” แพ้ศึกในโรงหนัง แต่ชนะสงครามบนสตรีมมิ่ง Disney+ https://positioningmag.com/1297730 Fri, 18 Sep 2020 07:09:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297730 จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ Disney ต้องเปลี่ยนแผนชุลมุน ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Mulan เวอร์ชันคนแสดงบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Disney+ แทนในประเทศที่มีบริการนี้แล้ว ส่วนประเทศที่ยังไม่มีจะฉายในโรงตามปกติ หลังเปิดตัวมา 2 สัปดาห์ ปรากฏว่าภาพรวมรายได้จากโรงภาพยนตร์ต่ำกว่าที่ควร แต่บนสตรีมมิ่งประสบความสำเร็จสูง ดันยอดสมาชิกสมัครเพิ่ม 68%

ภาพยนตร์ Mulan (2020) รีเมคใหม่เวอร์ชันคนแสดงเป็นภาพยนตร์ที่แฟนๆ ทั่วโลกเฝ้ารอคอย โดยกำหนดการเดิมจะต้องเข้าฉายในเดือนมีนาคม 2020 แต่จากสถานการณ์โรค COVID-19 ทำให้ Disney ผู้อำนวยการสร้างเลือกเลื่อนฉายออกไปก่อน

และที่สุดแล้วต้องยอมปรับแผน ลงฉายในสตรีมมิ่ง Disney+ แทนสำหรับประเทศที่มีบริการแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย โดยสมาชิกต้องจ่ายเพิ่มพิเศษ 29.99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 900 บาท) เพื่อเข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนประเทศที่ยังไม่มีบริการ เช่น จีน ไทย หนังเข้าโรงฉายตามปกติ

หลิวอี้เฟย นักแสดงนำเรื่อง Mulan ในงาน World Premier ของภาพยนตร์ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2020

หลังทยอยเข้าฉายตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2020 มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลายประเด็นที่ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติม Mulan เข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการติดแฮชแท็ก #BoycottMulan เพราะ “หลิวอี้เฟย” นักแสดงนำ กล่าวให้การสนับสนุนตำรวจปราบม็อบฮ่องกง ตามด้วยผู้ชมพบในเครดิตหนังเรื่องนี้ว่ามีการถ่ายทำในเขตซินเจียง ซึ่งมีข้อพิพาทการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีนอยู่ ทำให้ฮ่องกง ไต้หวัน และโลกตะวันตกมีกระแสแบนหนังคุกรุ่น

กระทั่งตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่เป็นตลาดมุ่งเน้นของ Mulan ก็มีเสียงวิจารณ์ตัวหนังว่าออกมาน่าผิดหวัง เพราะทีมงานทำหนังแทบทั้งหมดเป็นคนตะวันตก และถ่ายทอดหนังออกมาในมุมของ ‘คนขาว’ ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมจีน

แต่เรื่องดราม่าเหล่านี้จะกระทบรายได้ภาพยนตร์แค่ไหน จะคุ้มทุนสร้างที่ลงไปมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไม่ หรือจะกลายเป็นการตลาดมุมกลับที่ทำให้คนยิ่งอยากเข้าไปชมด้วยตนเอง การจะประเมินความสำเร็จของ Mulan รอบนี้จะต้องแยกเป็น 2 ส่วนตามแพลตฟอร์มที่เข้าฉาย

 

รายได้โรงหนังต่ำกว่าที่ควร

ตรวจการบ้านฝั่งการเข้าฉายปกติในโรงหนังก่อน ตามรายงานของ Box Office Mojo by IMDBPro ภาพยนตร์เรื่อง Mulan (2020) เข้าฉายทั้งหมด 17 ประเทศ ทำรายได้รวมกัน 37.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหลักคือจีนแผ่นดินใหญ่ที่เพิ่งลงจอวันที่ 11 กันยายน 2020 ทำรายได้สัปดาห์แรกไปที่ 23.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนประเทศไทยเราที่ลงจอมาแล้ว 2 สัปดาห์ ทำรายได้ไป 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ

ถ้าเทียบกับภาพยนตร์ Disney เวอร์ชันคนแสดงที่ผ่านๆ มา ตัวเลขในจีนถือว่าน่าผิดหวัง เพราะภาพยนตร์อย่าง Beauty and the Beast ทำรายได้ที่เมืองจีนไปถึง 85 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ฉาย ตามด้วยเรื่อง Jungle Book ทำรายได้ไป 55 ล้านเหรียญ

ในไทย Mulan เข้าฉายโรงภาพยนตร์ตามปกติ โดยเข้าฉายแล้ว 2 สัปดาห์ ทำรายได้ 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นตลาดที่ทำรายได้อันดับ 2 รองจากจีนสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่ใช่หนัง Live-action เรื่องที่ทำรายได้แย่ที่สุดในจีนของ Disney เพราะภาพยนตร์ Dumbo เคยทำสถิติสัปดาห์แรกเพียง 11 ล้านเหรียญ แต่ถ้าเทียบกับการทำการตลาดอย่างหนักในจีนของ Mulan ตัวเลขที่ได้มา 23.2 ล้านเหรียญก็ค่อนข้างน่าผิดหวัง

นอกจากมีปัญหาเรื่องการทำหนังจีนด้วยมุมมองคนขาว Mulan ยังต้องผจญกับคู่แข่งชนโรงด้วยทำให้รายได้ลดลงไปอีกเพราะ Tenet ภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับที่มีแฟนๆ มากมาย ก็เข้าฉายพร้อมกัน และ Tenet สามารถทำรายได้สัปดาห์แรกไปถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

Disney+ รับอานิสงส์เต็มประตู

ตัดภาพมาที่การฉายบนสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม Disney+ ดังที่กล่าวว่าไม่ใช่แค่สมัครสมาชิกแล้วรับชมได้เลย แต่ต้องเสียเงินเพิ่ม 29.99 เหรียญเพื่อชม Mulan (ภาพยนตร์ Mulan จะปลดล็อก สมาชิกสามารถชมได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในเดือนธันวาคม 2020)

ปรากฏว่าแฟนๆ ยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อดูหนังเรื่องนี้ โดยทำรายได้เฉพาะส่วนจ่ายพิเศษนี้ 35.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่ารายได้ในโรงเสียอีก และเป็นรายได้เข้า Disney 100% เพราะไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้กับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหากไปฉายในแพลตฟอร์มอื่นนอกบริษัท

Mulan ยังทำให้ยอดสมัครสมาชิก Disney+ เพิ่มขึ้นถึง 68% และทำให้สมาชิกใช้เวลาดูคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มเพิ่มอีก 193% แน่นอนว่า Mulan กลายเป็นคอนเทนต์ยอดนิยมอันดับ 1 ของ Disney+ ในสัปดาห์แรกที่ฉาย และส่งให้แพลตฟอร์มนี้มีส่วนแบ่งยอดวิวขึ้นเป็น 15% ของยอดวิวรวมในกลุ่มบริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมด

โดยสรุปรายได้รวมทั้งจากโรงหนังปกติกับที่ได้จากสตรีมมิ่ง เป็นไปได้ว่าจะไม่คุ้มทุนที่ลงไปทั้งหมดกว่า 200 ล้านเหรียญ แต่ถ้ามองในมุมการแก้เกมของ Disney ที่กล้าตัดสินใจลงฉายในสตรีมมิ่งแทน กลยุทธ์นี้นับว่าประสบความสำเร็จ และได้พิสูจน์โมเดลการฉายหนังแบบใหม่ ทำให้เห็นว่ามีคนเกือบ 1.2 ล้านคนที่ยอมจ่ายเงินเพิ่ม 29.99 เหรียญเพื่อดูหนังเรื่องหนึ่งที่บ้านแบบชนโรง

Source

]]>
1297730
Disney ยื้อไม่ไหว! ยอดตัดใจปล่อย ‘มู่หลาน’ ลงสตรีมมิ่ง หลังรายได้ลด 42% https://positioningmag.com/1291378 Thu, 06 Aug 2020 10:26:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291378 เรียกได้ว่าหักปากกานักเคราะห์เลยทีเดียว หลังจากที่ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ประกาศที่จะนำ ‘มู่หลาน’ (Mulan) ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของดิสนีย์ที่ลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลง ‘สตรีมมิ่ง’ ในประเทศที่ให้บริการ ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney +) ส่วนประเทศที่ไม่มีก็จะได้ฉายปกติ อย่างประเทศไทยก็เคาะแล้วว่าวันที่ 4 กันยายนนี้แน่นอน ว่าแต่ทำไมดิสนีย์ถึงได้ยอมที่จะฉายมู่หลานในสตรีมมิ่ง ไปหาคำตอบกัน

ตลาดออฟไลน์ฉุดรายได้ ความหวังเดียวคือ ออนไลน์

ดิสนีย์ต้องเจ็บหนักจากวิกฤติ COVID-19 แค่เฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่สิ้นสุดเมื่อเดือน 27 มิถุนายน ดิสนีย์สูญเงินถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการปิดตัวของสวนสนุก Disneyland ซึ่งรายได้ส่วนนี้ลดลงถึง 85% อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการเลื่อนฉายภาพยนตร์อีก ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 42% อยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบเป็นรายปี

แม้ในส่วนของรายได้ออฟไลน์จะเจ็บหนัก แต่ในส่วนของ ‘สตรีมมิ่ง’ กลับไปได้สวย โดยหลังจากที่เดือนพฤศจิกายน 2562 ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งดิสนีย์ พลัสในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร จนปัจจุบันสามารถโดกยผู้ใช้ได้ถึงกว่า 60.5 ล้านบัญชี และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมด อาทิ ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก และล่าสุด ดิสนีย์ได้เล็งเพิ่มบริการใหม่ ‘สตาร์’ (Star) แพลตฟอร์มที่คล้ายกับ Hulu แต่จะเน้นเจาะตลาดนอกสหรัฐฯ

ลงมู่หลานในสตรีมแต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 900 บาท

สำหรับมู่หลานที่ Bob Chapek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่าขณะนี้ Disney มีแผนที่จะปล่อยลงใน Disney + นั้นไม่ได้ปล่อยให้ดูฟรี ๆ แต่จะเป็นการเข้าถึงแบบ ‘Premier Access’ ราคา 30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ภายในเดือนกันยายนนี้ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีบริการ Disney + จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติในเดือนเดียวกัน ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเพราะความไม่แน่นอนว่าเครือโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดอีกครั้งได้เมื่อใด

ทั้งนี้ Paolo Pescatore นักวิเคราะห์จาก PP Foresight กล่าวว่า จำนวนสมาชิกสตรีมมิ่งของดิสนีย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้นน่าประทับใจ แต่ถ้าจะแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Netflix หรือ Amazon Prime ก็ต้องเพิ่มรายการและเนื้อหาใหม่ ๆ

“จะต้องดำเนินการส่งเสริมบริการวิดีโอสตรีมมิ่งที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลักษณะการแข่งขันของตลาดนี้มีบริการมากเกินไปที่จะไล่ตามเงินดอลลาร์ที่น้อยเกินไป” เขากล่าว

สตรีมมิ่งเป็นโฉมงามหรืออสูรกันแน่?

เพราะแม้ว่าบริการสตรีมมิ่งจะมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจสตรีมมิ่งของดิสนีย์ยังไม่สามารถสร้างผลกำไร โดย Nicholas Hyett นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ Hargreaves Lansdown กล่าว ส่วนหนึ่งของธุรกิจขาดทุนจากการดำเนินงานประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นต้นทุนดังกล่าวดูจะเป็น อสูร มากกว่า โฉมงาม

“เป็นเรื่องที่ดีที่ Disney + และเเพลตฟอร์มทั้ง 3 มีการเติบโตที่ดี แต่ความจริงคือ รายได้จากสตรีมมิ่งยังไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนได้”

Source

]]>
1291378
2 เหตุผลที่ ‘มู่หลาน’ จะไม่ลงสตรีมมิ่งจนกว่าจะฉายโรง แม้จะถูกเลื่อนแบบไม่มีกำหนดก็ตาม https://positioningmag.com/1289660 Sun, 26 Jul 2020 09:41:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289660 ทั้ง ‘TENET’ ของ Warner Bros. และ ‘มู่หลาน’ ของ Disney ต้องเลื่อนฉายหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่การแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนล่าสุด ภาพพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องก็ถูกเลื่อนฉายไปอย่างไม่มีกำหนด แต่หลายคนคงสงสัย ทั้งที่ 2 สตูดิโอต่างมีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง ทำไมไม่ฉายบนแพลตฟอร์ม ทั้งที่ผ่านมาภาพยนตร์อนิเมชั่น ‘Trolls World Tour’ ตัดสินใจฉายบนแพลตฟอร์มและนั่นก็ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี และนี่คือ 2 เหตุผลที่ไม่สามารถทำได้

มากกว่าทุนสร้างที่มหาศาล

ภาพยนตร์อย่าง ‘TENET’ และ ‘มู่หลาน’ ถูกสร้างเพื่อเป็นภาพยนตร์ยอดนิยมระดับโลก ค่ายมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านในการผลิต อย่าง ‘มู่หลาน’ ของดิสนีย์ใช้ทุนสร้างถึง 200 ล้านดอลลาร์ในการผลิตเพียงอย่างเดียว และจากนั้นสตูดิโอก็ลงทุนทั้งเงินและเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและจีนซึ่งเป็นตลาดภาพยนตร์อันดับ 2 ของโลก แต่ ‘Trolls World Tour’ ไม่ได้ถูกคาดหวังไว้เช่นนั้น และดีไม่ดี การฉายโรงอาจจะประสบกับความล้มเหลวมากกว่า

ดังนั้น มันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ทุนสร้าง เพราะมันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมที่มาพร้อมกัน หากภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องไม่ได้การฉายบนภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่กำไรที่จะลดลง แต่ยังสูญเสียศักยภาพของการฉายภาพยนตร์ และมั่นอาจสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราไปดูหนังได้ตลอดกาล ดังนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังเลื่อนออกไปซ้ำแล้วซ้ำอีก

Paul Dergarabedian นักวิเคราะห์สื่ออาวุโสของ Comscore กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องหนึ่งถ้าภาพยนตร์ขนาดเล็กหรืออิสระเข้าสู่ระบบดิจิทัล แต่ภาพยนตร์เรื่องบัสเตอร์แตกต่างไป ถ้าพวกเขาข้ามโรงภาพยนตร์มันจะสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมที่มีมานานหลายทศวรรษ”

ความสัมพันธ์ของสตูดิโอและโรงภาพยนตร์

สตูดิโอต้องรักษาความสัมพันธ์กับเจ้าของโรงภาพยนตร์ ซึ่งสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงอาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่สตูดิโอจะตัดความสำพันธ์กับโรงภาพยนตร์ทิ้ง เมื่อมีทางเลือกอย่างสตรีมมิ่ง อย่างไรก็ตาม หากโรงภาพยนตร์ต้องปิดยาวถึงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อาจเป็นไปได้ที่สตูดิโอจะตัดสินใจที่จะปล่อยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ฉายบนสตรีมมิ่ง

ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่สตูดิโอและสตรีมมิ่ง เช่น Netflix ต้องรักษาเวลากว่าที่จะนำภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรง ออกมานำเสนอบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ หาก ‘TENET’ ได้ฉายลงบนสตรีมมิ่ง แน่นอนว่าจะต้องได้รับการตอบรับอย่างดี ด้วยชื่อผู้กำกับ ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ อย่างไรก็ตาม โนเเลนอยากให้ฉายภาพยนตร์เขาบนโรงภาพยนตร์ก่อน เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้ชม

Source

]]>
1289660