เรียกได้ว่าหักปากกานักเคราะห์เลยทีเดียว หลังจากที่ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ประกาศที่จะนำ ‘มู่หลาน’ (Mulan) ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของดิสนีย์ที่ลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลง ‘สตรีมมิ่ง’ ในประเทศที่ให้บริการ ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney +) ส่วนประเทศที่ไม่มีก็จะได้ฉายปกติ อย่างประเทศไทยก็เคาะแล้วว่าวันที่ 4 กันยายนนี้แน่นอน ว่าแต่ทำไมดิสนีย์ถึงได้ยอมที่จะฉายมู่หลานในสตรีมมิ่ง ไปหาคำตอบกัน
ตลาดออฟไลน์ฉุดรายได้ ความหวังเดียวคือ ออนไลน์
ดิสนีย์ต้องเจ็บหนักจากวิกฤติ COVID-19 แค่เฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่สิ้นสุดเมื่อเดือน 27 มิถุนายน ดิสนีย์สูญเงินถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการปิดตัวของสวนสนุก Disneyland ซึ่งรายได้ส่วนนี้ลดลงถึง 85% อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการเลื่อนฉายภาพยนตร์อีก ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 42% อยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบเป็นรายปี
แม้ในส่วนของรายได้ออฟไลน์จะเจ็บหนัก แต่ในส่วนของ ‘สตรีมมิ่ง’ กลับไปได้สวย โดยหลังจากที่เดือนพฤศจิกายน 2562 ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งดิสนีย์ พลัสในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร จนปัจจุบันสามารถโดกยผู้ใช้ได้ถึงกว่า 60.5 ล้านบัญชี และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมด อาทิ ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก และล่าสุด ดิสนีย์ได้เล็งเพิ่มบริการใหม่ ‘สตาร์’ (Star) แพลตฟอร์มที่คล้ายกับ Hulu แต่จะเน้นเจาะตลาดนอกสหรัฐฯ
ลงมู่หลานในสตรีมแต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 900 บาท
สำหรับมู่หลานที่ Bob Chapek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่าขณะนี้ Disney มีแผนที่จะปล่อยลงใน Disney + นั้นไม่ได้ปล่อยให้ดูฟรี ๆ แต่จะเป็นการเข้าถึงแบบ ‘Premier Access’ ราคา 30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ภายในเดือนกันยายนนี้ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีบริการ Disney + จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติในเดือนเดียวกัน ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเพราะความไม่แน่นอนว่าเครือโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดอีกครั้งได้เมื่อใด
ทั้งนี้ Paolo Pescatore นักวิเคราะห์จาก PP Foresight กล่าวว่า จำนวนสมาชิกสตรีมมิ่งของดิสนีย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้นน่าประทับใจ แต่ถ้าจะแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Netflix หรือ Amazon Prime ก็ต้องเพิ่มรายการและเนื้อหาใหม่ ๆ
“จะต้องดำเนินการส่งเสริมบริการวิดีโอสตรีมมิ่งที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลักษณะการแข่งขันของตลาดนี้มีบริการมากเกินไปที่จะไล่ตามเงินดอลลาร์ที่น้อยเกินไป” เขากล่าว
สตรีมมิ่งเป็นโฉมงามหรืออสูรกันแน่?
เพราะแม้ว่าบริการสตรีมมิ่งจะมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจสตรีมมิ่งของดิสนีย์ยังไม่สามารถสร้างผลกำไร โดย Nicholas Hyett นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ Hargreaves Lansdown กล่าว ส่วนหนึ่งของธุรกิจขาดทุนจากการดำเนินงานประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นต้นทุนดังกล่าวดูจะเป็น อสูร มากกว่า โฉมงาม
“เป็นเรื่องที่ดีที่ Disney + และเเพลตฟอร์มทั้ง 3 มีการเติบโตที่ดี แต่ความจริงคือ รายได้จากสตรีมมิ่งยังไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนได้”