มองอนาคตต่อไปของ ‘ดิสนีย์’ หลัง ‘ทรัพย์สิน’ กลายเป็น ‘หนี้สิน’ เพราะ ‘COVID-19’

ดูเหมือนว่าไม่มีบริษัทสื่อใดที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ social distancing มากไปกว่า ดิสนีย์ (Disney) อีกแล้ว เพราะสวนสนุกที่คับคั่งไปด้วยผู้คน โรงภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยแฟน ๆ Marvel, Star Wars และบรรดาเจ้าหญิงดิสนีย์ที่โด่งดัง โรงแรมที่คึกคัก เรือสำราญและร้านค้าปลีก แหล่งทำเงินทั้งหมดของดิสนีย์ที่กล่าวมาทั้งหมดต้องปิดลงเพราะผลกระทบจาก COVID-19

(photo: Disney World)

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ดิสนีย์ได้สร้างอาณาจักรที่แผ่ขยายออกไปและกลายเป็นศูนย์กลางที่มีผู้คนจำนวนมากในพื้นที่ ขณะที่ปี 2019 ถือเป็นหนึ่งปีที่ดีที่สุดของดิสนีย์ ทั้งการประสบความสำเร็จของภาพยนตร์ ‘Avengers: Endgame’ การเปิดตัวโซน ‘Star Wars’ ใหม่ในสวนสนุก แต่จากการระบาดใหญ่ในปี 2020 ทำให้ดิสนีย์ต้องสะดุด ผู้บริหารระดับสูงอย่าง Bob Iger ประธานกรรมการ และ Bob Chapek CEO คนใหม่ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและสุขภาพ แต่ในขณะที่พวกเขาจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทันทีคำถามระยะยาวสะท้อนให้เห็นว่าสินทรัพย์ของดิสนีย์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหนี้สินอย่างกะทันหันเนื่องจากไวรัสไปเสียแล้ว

อ่าน >>> สู้ไม่ไหว! Disney World เตรียม “พักงาน” พนักงาน 43,000 คน หลังต้องปิดยาวไม่มีกำหนด

เพราะโรคระบาดได้ส่งผลกับดิสนีย์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนสนุกและรีสอร์ตที่ปิดตัวไปทั่วโลก, ภาพยนตร์ที่สำคัญอย่าง ‘มู่หลาน’ และ ‘Black Widow’ ก็เลื่อนฉาย ขณะที่ช่องกีฬาอย่าง ‘ESPN’ หนึ่งในเครือข่ายสื่อที่ใหญ่ที่ดิสนีย์ถือหุ้นถึง 80% ก็กำลังดิ้นรนเพื่อเติมเต็มเวลาออกอากาศเนื่องจากกีฬาไม่สามารถแข่งขันได้ ขณะที่ดิสนีย์เองมีพนักงานหลายพันคน ส่งผลให้ Standard & Poors ไปปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ซึ่งทำให้หุ้นลดลง 27%

โดยผลประกอบการในไตรมาสสองของปี ดิสนีย์ทำรายได้ 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 21% แต่กำไรเลดลง -91% เนื่องจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 44% เมื่อแยกเป็นรายธุรกิจ จะเห็นว่ากำไรลดลงในหลายส่วน ได้แก่

  • ธุรกิจสวนสนุกและการขายสินค้ามีรายได้ลดลง -10% กำไรลดลง -58%
  • ธุรกิจเครือข่ายมีเดีย เช่น Disney Chanel, ESPN รายได้เติบโต 28% กำไรเติบโต 7%
  • ธุรกิจสตูดิโอภาพยนตร์เติบโต 18% กำไรลดลง -8%
  • ส่วนธุรกิจสตรีมมิ่งและเครือข่ายโทรทัศน์ในต่างประเทศ เช่น Disney +, ESPN+ เติบโต +260% แต่ขาดทุนจากต้นทุนการทำงาน 111%

“สิ่งที่ทุกคนกังวลคือเราไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาเป็นปกติ เรายังไม่รู้ด้วยว่าพฤติกรรมจะเปลี่ยนไปในอนาคตหรือไม่ คนจะลังเลที่จะไปสวนสาธารณะหรือไม่ ผู้คนจะต้องการนั่งในโรงภาพยนตร์ถัดจากคนแปลกหน้าเพราะกลัวว่าจะติดไวรัสหรือไม่? นั่นคือสิ่งที่ตลาดโต้เถียง และด้วยธุรกิจที่ไม่สามารถดำเนินงานได้ ดิสนีย์กำลังจะพังทลายลงในปี 2563 จากกระแสเงินสดและผลกำไรที่หายไป” Michael Nathanson นักวิเคราะห์สื่อและหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งที่ MoffettNathanson กล่าว

(Photo by Carl Court/Getty Images)

ในขณะที่ปี 2020 ดูเหมือนว่าจะเป็นหายนะสำหรับดิสนีย์ แต่ยังพอมี แสงสว่าง เพราะอย่างไรก็ตาม ดิสนีย์ยังคงเป็นดิสนีย์ ยังเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รักและมีแฟรนไชส์มากมายที่คู่แข่งหลายรายในอุตสาหกรรมยังต้องอิจฉา Matthew Ball อดีตผู้บริหารสตูดิโอ Amazon (AMZN) กล่าวว่า “บริษัทส่วนใหญ่ไม่มีทรัพย์สินทางปัญญา แต่ไม่ใช่ดิสนีย์ อีกทั้งดิสนีย์มักค้นหาวิธีสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในรูปแบบใหม่และผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทำให้ไม่มีใครเบื่อดิสนีย์ และก่อนหน้า COVID-19 ดิสนีย์ก็เป็นที่รักของผู้คน”

Suzanne Scott ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของ Moody College of Communication แห่ง University of Texas ได้กล่าวว่า “แฟนของ Disney มีความภักดีต่อแบรนด์อย่างไม่น่าเชื่อ และวิกฤตินี้ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรไป ผู้คนจะอยากสัมผัสกับกิจกรรมและประสบการณ์เมื่อปลอดภัยที่จะรวมตัวกันอีกครั้ง”

คอนเทนต์อันหลากหลายของ Disney

ด้าน Robert Niles บรรณาธิการของ ThemeParkInsider.com เชื่อว่าสวนสนุกและรีสอร์ตของดิสนีย์จะต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแง่ของการเปิดใหม่ เพราะจากนี้ดิสนีย์ต้องวาง Position ตัวเองใหม่ ไม่ใช่แค่บริษัทบันเทิงหรือจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุด แต่ต้องเป็น แบรนด์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีและงบหลายพันล้านเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น

“แฟน ๆ ของดิสนีย์หลายล้านคนกำลังนั่งอยู่ที่บ้านในขณะนี้ดู Disney + สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดิสนีย์ อ่านหนังสือของดิสนีย์ และฟังเพลงของดิสนีย์ แม้ว่าผู้คนจะต้องอยู่ห่างจากโรงละครและสวนสนุก แต่พวกเขาก็ไม่เคยห่างจากดิสนีย์ “

นอกจากนี้ ช่องทางวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ยังคงเติบโต โดยในเวลาเพียง 5 เดือนบริการ กลับมีสมาชิกที่ชำระเงินแล้วถึง 50 ล้านรายทั่วโลก จากที่เคยคาดว่าต้องใช้เวลาถึง 4 ปี แม้แต่ Reed Hastings ซีอีโอของ Netflix ก็กล่าวชื่นชมการเปิดตัว Disney +

Trip Miller นักลงทุนและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Disney ที่ Hedge Fund พันธมิตร Gullane Capital เชื่อว่า Disney + มีความสำคัญต่อบริษัทในตอนนี้ และนั่นไม่ใช่เพียงเพราะเป็นอนาคตใหม่ของดิสนีย์ แต่เชื่อว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งช่วยให้บริษัทอยู่ในความคิดและห้องนั่งเล่นของผู้บริโภค

“COVID-19 กระทบเกือบทุกองค์ประกอบของดิสนีย์ ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือบริการสตรีมมิ่งของ Hulu และ Disney + แต่ทั้ง 2 ส่วนยังไม่สามารถทำกำไรได้”

ด้วยคุณสมบัติด้านสินทรัพย์ทางปัญญาและความภักดีของผู้บริโภค น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดิสนีย์สามารถฟื้นตัวได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการกู้คืนความเสียหายทางการเงิน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ตอนนี้ดิสนีย์กำลังมุ่งหน้าไปสู่อนาคตที่ไม่รู้จัก ซึ่งเวทย์มนต์ของดิสนีย์ที่มีคงยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ในขณะนี้

Source