pptv – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Dec 2019 05:31:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 PPTV งดถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกชั่วคราว เนื่องจากสัญญาณรั่วไหลไปนอกประเทศ https://positioningmag.com/1251027 Fri, 25 Oct 2019 14:54:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251027 PPTV ประกาศงดถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกชั่วคราวตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ เนื่องจากมีเหตุขัดข้อทางเทคนิค กำลังเร่งหาทางแก้ไข

สถานีโทรทัศน์ PPTV HD ช่อง 36 ได้ประกาศในช่องทางเว็บไซต์ และเฟซบุ๊กว่า งดทำการถ่ายทอดสดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกชั่วคราว โดยมีเนื้อหาเต็มๆ ว่า

สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 ในฐานะผู้ได้รับสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ได้แจ้งถึงกรณีที่ พรีเมียร์ลีก ส่งหนังสือแจ้งให้ระงับการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีการรั่วไหลของสัญญาณไปนอกประเทศไทยผ่านระบบโทรทัศน์ดาวเทียม ทางสถานีฯ จึงจำเป็นต้องงดการถ่ายทอดสดชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป

โดยทางสถานีฯ ได้มีการสื่อสารกับผู้ชมผ่านทางหน้าจอ และช่องทางออนไลน์ถึงข้อขัดข้องดังกล่าว แต่โดยที่เป็นเหตุสุดวิสัย นอกเหนือการควบคุมดูแล พีพีทีวี จึงจำเป็นต้องระงับการถ่ายทอดสดชั่วคราว และกำลังเร่งหาทางออกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขโดยเร็วที่สุด

]]>
1251027
เรตติ้งเปลี่ยน! “ช่อง 3 SD” ลาจอ อันดับท็อปเท็นว่าง “4 ช่อง” เข็นคอนเทนต์ใหม่ลงผังหวังเสียบแทน https://positioningmag.com/1241984 Mon, 12 Aug 2019 01:25:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241984 เดือน .นี้ทีวีดิจิทัลจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการคืนใบอนุญาต 7 ช่อง ที่จะเริ่มทยอยลาจอตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 15 .นี้ เป็นต้นไป โดย 2 ช่องสุดท้ายคือ 3 Family และ 3 SD ยุติออกอากาศสิ้นเดือน .นี้

ในกลุ่ม 7 ช่องที่คืนใบอนุญาต ช่องที่มีเรตติ้งสูงสุด คือ ช่อง 3 SD หากย้อนสถิติ 5 ปี พบว่าขยับขึ้นมาต่อเนื่องและอยู่ในกลุ่มท็อปเท็นปัจจุบัน โดย ปี 2557 เรตติ้ง 0.017 อันดับ 17, ปี 2558 เรตติ้ง 0.083 อันดับ 13, ปี 2559 เรตติ้ง 0.234 อันดับ 7, ปี 2560 เรตติ้ง 0.279 อันดับ 7, ปี 2561 เรตติ้ง 0.309 อันดับ 9 และ ล่าสุดเดือน ก.ค. 2562 เรตติ้ง 0.288 อันดับ 9

4 ช่อง” เบียดชิงขึ้นท็อปเท็นเรตติ้ง  

ดังนั้นหลังจาก ช่อง 3 SD ที่ครองเรตติ้งติดท็อปเทนมาตั้งแต่ปี 2559 ถึงปัจจุบัน การเตรียมคืนใบอนุญาต “ลาจอ” ในคืนวันที่ 30 ก.ย. เวลาเที่ยงคืน นั่นหมายถึงตำแหน่งที่ “ว่างลง” ของเรตติ้งในกลุ่ม 10 อันดับแรก ทำให้อันดับรองลงไปจะขยับขึ้นมาแทน

ปัจจุบันทีวีดิจิทัลที่มีเรตติ้งอันดับ 10 – 13 มีตัวเลขใกล้เคียงกันมากและมีโอกาสสลับตำแหน่ง แบบเดือนต่อเดือน หลังจาก ช่อง 3 SD ยุติออกอากาศ เรตติ้งอันดับ 9 และ 10 จะขยับขึ้น โดยมี 4 ช่อง ลุ้นไต่อันดับขึ้น คือ พีพีทีวี, เนชั่นทีวี, MCOT HD และ GMM25 ที่จะเบียดชิงตำแหน่งกันแบบหายใจรดต้นคอ

การขึ้นมาอยู่ในกลุ่มท็อปเท็นเรตติ้งได้ หมายถึงโอกาสที่จะได้เม็ดเงินโฆษณาจากมีเดีย เอเยนซีและสินค้าที่จัดสรรเม็ดเงินให้กับกลุ่มนี้เป็นอันดับแรก ปัจจุบัน ช่อง 7 และช่อง 3 ยังเป็น 2 ช่องผู้นำเรตติ้งที่เอเยนซีเลือกลงโฆษณาสูงสุด สัดส่วน 50% ของงบโฆษณาทีวี ส่วนงบโฆษณาทีวีอีก 40% จะกระจายไปที่ “ทีวีดิจิทัล” เรตติ้งอันดับที่ 3 – 7 และอีก 10% อาจจะอยู่ที่อันดับที่เหลือแต่ไม่เกินอันดับ 10

ช่วงครึ่งปีหลังจึงเห็นการเปลี่ยนแปลง “ผังรายการ” ของกลุ่มท็อปเท็น ในการนำคอนเทนต์ใหม่ลงจอ หวังขยับเรตติ้งจากจุดเปลี่ยนคืนใบอนุญาตของ 7 ช่อง ซึ่งรวมกันแล้วครองส่วนแบ่งการตลาดผู้ชมราว 8% มีรายได้โฆษณารวมกัน 120 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 1,440 ล้านบาทต่อปี ทั้งผู้ชมและเม็ดเงินก้อนนี้ ก็จะไหลไปยังช่องทีวีดิจิทัลอื่นๆ แทน

สถาพร พานิชรักษาพงศ์

GMM25 เข็นคอนเทนต์ใหม่ไต่ท็อปเท็น

สถาพร พานิชรักษาพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ช่อง GMM25 วางแผนขยายฐานผู้ชมเพิ่มขึ้นทุกแพลตฟอร์ม โดยเดือน ส.ค. นี้ รายการ “ลูกทุ่งสู้ฟัด” ที่นำเสนอทุกวันอาทิตย์ 18.20 – 20.00 น. ทางหน้าจอทีวี ได้ต่อยอดไปสู่ On Ground โดยจะจัดบิ๊กอีเวนต์ “คอนเสิร์ตลูกทุ่งสู้ฟัด” ศิลปินจากแกรมมี่โกลด์ และผู้เข้าแข่งขันจากรายการ

หลังเริ่มออนแอร์รายการลูกทุ่งวิ่งสู้ฟัด ตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา พบว่าเรตติ้งขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีฐานคนดูกลุ่มใหม่ภาคอีสาน ภาคกลาง รวมไปถึงประเทศลาว เดือน มิ.ย. – ก.ค. ช่วงไพร์มไทม์หัวค่ำเพิ่มขึ้น 82.51% จากเดือน เม.ย. – พ.ค.

ส่วนไพร์มไทม์ 20.10 น. มี “ละครค่ำ” เรื่องใหม่ “ปลาร้าทรงเครื่อง” คอมเมดี้และดราม่า ทุกวันพุธ – พฤหัส เริ่มตอนแรก 15 ส.ค. และเรื่อง “แรงเทียน” ละครดราม่า ทุกจันทร์ – อังคาร เริ่มวันที่ 2 ก.ย.

พร้อมคอนเทนต์รายการกีฬาครั้งแรกของช่อง GMM 25 ช่วงวีคเอนด์กับรายการใหม่ “มวยดี วิถีไทย” ถ่ายทอดสดจากสนามมวยบลูอารีน่า จ. สมุทรปราการ ทุกวันอาทิตย์ 12.00 – 14.00 น. เริ่ม 11 ส.ค. เจาะผู้ชมกลุ่มผู้ชายเพิ่มขึ้น จากเดิมฐานผู้ชมเป็นกลุ่มผู้หญิง 60%

“ปีนี้ GMM 25 เสริมคอนเทนต์เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ตลาดแมสอีสานและเอาใจกลุ่มเป้าหมายเดิมในทุกแพลตฟอร์ม และดึงคอนเทนต์กีฬามวยมาออกอากาศครั้งแรก ต้องการเพิ่มฐานผู้ชมครึ่งปีหลังและเป้าหมายติดอันดับท็อปเท็นเรตติ้งทีวีดิจิทัลให้ได้ จากเดือน ก.ค. เรตติ้งอยู่ที่อันดับ 14”

สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์

“พีพีทีวี” ย้ำเวิลด์คลาสยิงสดพรีเมียร์ลีกยาว 3 ปี

“พีพีทีวี” เป็นช่องที่ไล่บี้ช่องอื่นๆ เพื่อขึ้นมายืนในตำแหน่งเรตติ้งท็อปเท็นได้ในปีนี้ เดือนก.ค. 2562 ครองอันดับ 10 เรตติ้ง 0.159 ถือเป็นตำแหน่งที่ขยับขึ้นมาต่อเนื่อง หากดูย้อนหลังไป 5 ปี เริ่มต้นในปี 2557 เรตติ้ง 0.015 อันดับ 19, ปี 2558 เรตติ้ง 0.073 อันดับ 14, ปี 2559 เรตติ้ง 0.114 อันดับ 13, ปี 2560 เรตติ้ง 0.149 อันดับ 13 และปี 2561 เรตติ้ง 0.164 อันดับ 12

กลยุทธ์ของช่องพีพีทีวี คือ ทุ่มไม่อั้นกับคอนเทนต์ระดับเวิล์ดคลาส แต่ละปีใช้งบราว 1,000 ล้านบาท คอนเทนต์ ไฮไลต์ คือ กีฬาระดับโลกโดยเฉพาะฟุตบอลลีกดัง โดยเปิดตัว เป็น “ฟรีทีวี” ที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มาตั้งแต่ฤดูกาล 2015/16 และล่าสุดกับ 3 ฤดูกาลใหม่ ปี 2019/20 ถึง 2021/22 ภายใต้การบริหารลิขสิทธิ์ของ “ทรูวิชั่นส์”

สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 กล่าวว่าได้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกต่อเนื่องอีก 3 ฤดูกาลๆ ละ 30 แมตช์ เพื่อให้พีพีทีวีเป็นช่องฟรีทีวียอดนิยมของคอกีฬาตลอดระยะเวลาต่อเนื่อง หลังจากถ่ายทอดสดรายการนี้ 4 ปี และมีแฟนประจำที่ติดตามชม

ช่วง 5 เดือนหลังจากนี้ นอกจากฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแล้ว “พีพีทีวี” ยังถ่ายทอดสดฟุตบอลบุนเดสลีกา รวมทั้งกีฬาอื่นๆ อีกหลากหลายรายการ เช่น ฟุตบอลโคปา อเมริกา (Copa America 2019) จากบราซิล ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2019 จากประเทศฝรั่งเศส ฟุตบอล ICC 2019 การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบโมโตจีพี และศึกมวยชิงแชมป์โลกระหว่าง “ปาเกียว กับ เธอร์แมน”

ทีมผู้ประกาศข่าว พีพีทีวี

ตั้งแต่ครึ่งปีหลังยังได้ขยายเวลาข่าวเช้า จากเดิม 2 ชั่วโมง 30 นาที เป็น 3 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อให้ผู้ชมเกาะติดสถานการณ์ข่าวเช้ายาวต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 05.30 ถึงเวลา 09.00 น. ประกอบด้วย “โชว์ข่าวเช้านี้” และ “โชว์ข่าว 36” รวมทั้ง “เที่ยงทันข่าว” เวลา 11.00 – 12.30 น. “เป็นเรื่อง เป็นข่าว” เวลา 17.00 – 17.30 น. และ “เข้มข่าวค่ำ” เวลา 17.30 – 20.00 น.

เป้าหมายของ พีพีทีวี จะต้องมีรายได้เติบโตจากปีก่อน 100% หรือราว 1,000 ล้านบาท รวมทั้งทำเรตติ้งติดท็อป 5 ให้ได้ในอนาคต

“อสมท” เปิดผังใหม่ปลาย ส.ค. นี้  

MCOT 30 ของ อสมท เป็นช่องฟรีทีวีเดิมที่ต้องลุ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มท็อปเท็นในยุคทีวีดิจิทัล หลังจากผู้ผลิตรายการที่เคยอยู่กับช่อง ทยอยย้ายรายการออกไปยังทีวีดิจิทัลช่องใหม่แต่ ยุคเริ่ม ปี 2557 เรตติ้ง ช่อง MCOT 30 ยังทำได้ดี อยู่ที่ 0.468 อันดับ 3 มาปี 2558 เรตติ้ง 0.226 อันดับ 6 หลังจากนั้นเริ่มลดลงไปอยู่ท้ายตารางกลุ่มท็อปเทน ปี 2559 เรตติ้ง 0.180 อันดับ 9, ปี 2560 เรตติ้ง 0.265 อันดับ 9, ปี 2561 เรตติ้ง 0.189 อันดับ 10 ล่าสุด ก.ค. 2562 เรตติ้ง 0.159 อันดับ 12

เขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปลายเดือนส.ค. นี้ จะมีการปรับผังใหม่ โดยช่วงเช้า เน้นข่าวเศรษฐกิจทั่วไป ตลาดหุ้น และเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับปากท้องประชาชน ช่วงบ่าย เศรษฐกิจชาวบ้าน และกลุ่มสาระบันเทิง ส่วนช่วงเย็น รายการกีฬา ซีรีส์ต่างประเทศ และฮาร์ดทอล์ก เชื่อว่าปีนี้ยังคงทำเรตติ้งเกาะกลุ่มท็อปเท็นได้เหมือนปีก่อน

เนชั่น” ลุ้นโกยผู้ชมช่องสปริง 26 หลังลาจอ

ปี 2562 “เนชั่นทีวี” เป็นช่องข่าวที่สามารถไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มท็อปเทนได้หลายครั้ง ล่าสุด ก.ค. 2562 เรตติ้ง 0.183 อยู่อันดับ 11 สถานการณ์นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ทำให้รายการข่าวของเนชั่นทีวี ทำเรตติ้งขยับขึ้นต่อเนื่อง

หากย้อนไปดูเรตติ้ง 5 ปีก่อน เห็นได้ว่าอันดับจะอยู่ท้ายตาราง ปี 2557 เรตติ้ง 0.045 อันดับ 11, ปี 2558 เรตติ้ง 0.051 อันดับ 20, ปี 2559 เรตติ้ง 0.077 อันดับ 17, ปี 2560 เรตติ้ง 0.072 อันดับ 17, ปี 2561 เรตติ้ง 0.121 อันดับ 15

หลังจากช่อง สปริง 26 เตรียมยุติออกอาอากาศในเวลาเที่ยงคืนวันที่ 15 ส.ค. นี้ ผู้ชมช่องสปริง 26 มีโอกาสที่จะไหลไปช่องเนชั่นทีวีและปีนี้มีลุ้นติดอันดับท็อปเท็นเช่นกัน

]]>
1241984
“พีพีทีวี” เบียด “เนชั่นทีวี” ติดอันดับท็อปเท็นเรตติ้งทีวีดิจิทัลเดือน ก.ค. 62 https://positioningmag.com/1241231 Fri, 02 Aug 2019 09:15:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241231 เรตติ้งทีวีดิจิทัล เดือน .. 2562 กลุ่มท็อปเท็นอันดับเริ่มนิ่ง เปลี่ยนแค่อันดับ 10 “พีพีทีวีกลับขึ้นมาครองตำแหน่งอีกครั้ง จากการถ่ายทอดสดกีฬาดัง    

สำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช. สรุปข้อมูลเรตติ้งทีวีดิจิทัล เดือน ก.ค. 2562 จากการสำรวจเรตติ้งของ “นีลเส็น” พบว่า ช่องรายการที่ได้รับความนิยมสูงสุด 10 อันดับแรก คือ ช่อง 7HD ช่อง 3HD ช่องโมโน 29 เวิร์คพอยท์ทีวี ช่อง One ไทยรัฐทีวี อมรินทร์ทีวี ช่อง 3SD ช่อง 8 และพีพีทีวี ตามลำดับ

ในเดือน ก.ค. 2562 ช่องรายการส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 10 อันดับแรกยังเป็นกลุ่มช่องรายการเหมือนเดือนก่อนหน้า โดยช่องรายการที่มีเรตติ้งเพิ่มขึ้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มช่องละคร ภาพยนตร์ และวาไรตี้ ได้แก่ ช่องโมโน 29 เวิร์คพอยท์ทีวี และช่อง One โดยช่องโมโน 29 ยังคงได้หนังดังต่างประเทศช่วยเพิ่มเรตติ้งอย่างต่อเนื่อง ส่วนเวิร์คพอยท์ทีวี ได้ทั้งรายการวาไรตี้เก่าและใหม่ เช่น I can see your voice, ไมค์ทองคำปี 8 และ 10 Fight 10 มาช่วยเพิ่มเรตติ้ง ส่วนละครเย็น “ไลลาธิดายักษ์” ของช่อง One กลายเป็นรายการที่ทำเรตติ้งได้ดีและเพิ่มเรตติ้งให้ช่อง

กลุ่มช่องข่าว ได้แก่ อมรินทร์ทีวี และช่อง 3SD โดยรายการทุบโต๊ะข่าว ที่ออกอากาศต่อเนื่องตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ของอมรินทร์ทีวี สร้างฐานความนิยมจากผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนช่อง 3SD ก็มีรายการข่าวค่ำ “ข่าวนอกลู่” ที่ทำเรตติ้งได้ดีตลอดทั้งเดือน

กลุ่มช่องกีฬา ได้แก่ พีพีทีวี ที่นำกีฬามาเป็นคอนเทนต์หลักของช่อง โดยรายการมวยและรายการฟุตบอลได้รับความนิยมจากแฟนกีฬา เช่น รายการถ่ายทอดสด เวิลด์คลาส แชมเปี้ยนชิพ บ็อกซิ่ง และรายการถ่ายทอดสด ฟุตบอลอินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนชิพ

กลุ่มท็อปเท็น เรตติ้ง เดือน ก.ค. นี้ มีการเปลี่ยนแปลง เพียงอันดับเดียว คือ “พีพีทีวี” เบียด “เนชั่นทีวี” ขึ้นมาครองตำแหน่งอันดับ 10 แทน

ในเดือน ก.ค. 2562 ข้อมูลเรตติ้งได้มาจากการสำรวจทีวีดิจิทัล 23 ช่องรายการ จากทั้งหมด 25 ช่องรายการ โดยไม่มีการสำรวจความนิยมของ สปริงนิวส์ 19 และ วอยซ์ทีวี ซึ่งเป็น 2 ช่องที่ขอคืนใบอนุญาตกับ กสทช. โดย สปริงนิวส์ 19 จะยุติออกอากาศวันที่ 16 ส.ค. นี้ 0.01 น. และ วอยซ์ทีวี ยุติออกอากาศวันที่ 16 ก.ย. เวลา 0.01 น.

ข่าวเกี่ยวเนื่อง

]]>
1241231
เม็ดเงินโฆษณาละคร 2 หมื่นล้าน “ทีวีดิจิทัล” เปิดศึกชิงเค้กไพรม์ไทม์ครึ่งปีหลัง https://positioningmag.com/1234800 Sat, 15 Jun 2019 13:46:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1234800 ปัจจุบันอุตสาหกรรมโฆษณาสื่อทีวียังครองสัดส่วนสูงสุดกว่า 50% มีเดียเอเยนซี MI ประเมินมูลค่าอุตสาหกรรมโฆษณาปีนี้อยู่ที่ 90,422 ล้านบาท เติบโตราว 1.49% เปรียบเทียบปี 2561 และทีวี มีส่วนแบ่งสูงสุด แม้จะอยู่ในภาวะถดถอยมาตั้งแต่ยุคทีวีดิจิทัลก็ตาม  

ภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ สายงานการวางแผนและกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI กล่าวว่า ข้อมูลที่ประเมินโดย MI ปี 2562 เม็ดโฆษณาสื่อทีวี มีสัดส่วน 51% หรือมูลค่าเกือบ 50,000 ล้านบาท

หากวิเคราะห์เฉพาะเม็ดเงินโฆษณาทีวี คอนเทนต์ที่ครองงบสูงสุดคือ “ละคร” สัดส่วน 40% นั่นหมายถึงมูลค่าราว 20,000 ล้านบาท รองลงมาคือ ข่าว 30% วาไรตี้และอื่นๆ อีก 30%

โฟกัสเฉพาะ “ละคร” ก็ต้องบอกว่า ทีวีดิจิทัล กลุ่มผู้นำเรตติ้งละคร อย่าง ช่อง 3 ช่อง 7 ช่องวัน รายได้จากละครคิดเป็นสัดส่วนราว 50% ละครที่อยู่ในช่วงไพรม์ไทม์ 20.00 น. ของทุกช่อง จะมีราคาโฆษณา Rate Card (ราคาเสนอขายยังไม่หักส่วนลด) สูงสุดของสถานี

“ช่อง7-ช่อง3-วัน” กลุ่มท็อปละคร ช่องใหม่ “เหนื่อย”

ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของสถานีทีวี ที่เริ่มตั้งแต่ 18.00 น. เป็นต้นไป ถือเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวไทย หรือผู้ชมที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ใช้เวลาดูทีวีมากที่สุด โดยเฉพาะละคร ทำให้ราคาโฆษณาในช่วงนี้มีอัตราสูงสุดของสถานี

ภวัต บอกว่าสถานการณ์ของทีวีดิจิทัล 15 ช่องที่ตัดสินใจไปต่อโดยไม่คืนใบอนุญาต หลายช่องเริ่มใส่เม็ดเงินลงทุนคอนเทนต์ โดยมุ่งไปที่ “ละคร” มากขึ้น เพราะเป็นรายการที่คนได้นิยมดูมากที่สุด แต่ละครก็มี “เจ้าตลาด” อยู่แล้ว คือ ช่อง 7 ช่อง 3 ตั้งแต่ยุคฟรีทีวี แอนะล็อก มาในยุคทีวีดิจิทัล “ช่องวัน” ที่มีผู้ผลิตละคร ในนาม เอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ ตั้งแต่ยุคผลิตละครให้ช่อง 5 ก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำละครเช่นกัน

วันนี้ในกลุ่มผู้นำเรตติ้งละคร ช่อง 7 ช่อง 3 เอง ก็เหนื่อย แม้จะมีฐานผู้ชมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องจะมีเรตติ้งดี ก็ต้องลุ้นกันแบบเรื่องต่อเรื่อง บางเรื่องนักแสดงดัง ก็ไม่ได้การันตีว่าละครจะดัง

แต่ทั้งช่อง 3 และช่อง 7 ที่ทำละครมากว่า 30 ปี สะสมฐานคนดูประจำ และนักแสดงในสังกัดที่มีจำนวนมากก็ยังเป็น 2 ช่อง ที่มีแต้มต่อละครดีกว่าช่องใหม่ๆ หากละครมีนักแสดงนำที่คนไทยชื่นชอบ อย่าง ช่อง 7 หากมี เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ หรือ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ส่วนช่อง 3 มี ณเดชน์ คูกิมิยะ หรือ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ หากมีชื่อนักแสดงชื่อดังเหล่านี้ “ละคร” ก็จะเรียกความสนใจจากลูกค้าและเอเยนซีได้ก่อน หลังจากออนแอร์แล้วก็ต้องมาลุ้นกระแสจากผู้ชมอีกครั้งว่าจะได้รับความสนใจหรือไม่

“คอนเทนต์ละครวันนี้ ต้องบอกว่าแข่งขันกันเหนื่อย ทั้งช่องผู้นำเดิมและช่องใหม่ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นไปอีก”

 “ช่อง 3” เข็นฟอร์มยักษ์ลงจอ เปิดคุยทำตลาดทุกรูปแบบ

ในกลุ่มผู้นำละครเรตติ้งสูง ก็ต้องยกให้ช่อง 7 และ ช่อง 3 ที่ครองตำแหน่งนี้ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก มาถึงทีวีดิจิทัล

สำหรับช่อง 3 ที่ปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ทั้งการแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่นอกตระกูลมาลีนนท์เป็นครั้งแรก โดยได้มืออาชีพ “อริยะ พนมยงค์” มานั่งตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ในเดือน เม.ย. 2562 จากนั้นวันที่ 10 พ.ค. 2562 ตัดสินใจคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 2 ช่อง คือ ช่อง 13 และช่อง 28 เพื่อกลับมาทุ่มเทให้ช่อง 3 หรือ ช่อง 33 กลับมาผงาดอีกครั้งในอุตสาหกรรมทีวีรวมทั้งผลประกอบการต้องกลับมา “กำไร”

อริยะ พนมยงค์

คอนเทนต์ไฮไลต์ทำรายได้สูงสุดของช่อง 3 ก็ยังเป็น “ละคร” ไพรม์ไทม์ โดยได้เปิดผังละครใหม่ครึ่งปีหลัง 13 เรื่อง คือ ลิขิตรักข้ามดวงดาว ร้อยเล่ห์มารยา ผมอาถรรพ์ เขาวานให้หนูเป็นสายลับ Teeใครที่มัน แก้วกลางดง ลิขิตแห่งจันทร์ ด้ายแดง เพลิงรักเพลิงแค้น ฟ้าฝากรัก พยากรณ์ซ่อนรัก ทิวาซ่อนดาว และลับลวงใจ

นอกจากนี้ยังมี รายการวาไรตี้ 6 รายการ อาทิ รายการเลขระทึกโลก รายการ The Lift 5 ล้านสะท้านฟ้า รายการ Hollywood Game Night Thailand S 3 รายการ The Red Ribbon ไฮโซโบว์เยอะ และรายการแข่งขันวอลเลย์บอล FIVB NATIONS LEAGUE 2019

อริยะ ย้ำว่าหลังมาร่วมงานกับช่อง 3 เกือบ 2 เดือน เห็นแล้วว่าธุรกิจคอนเทนต์ยังมีโอกาสรออยู่ข้างหน้า สิ่งที่เชื่อได้ในวันนี้ คือ “ทีวีไม่หายไปไหน” เพียงแต่ผู้ชมไปย้ายไปดูในช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่คอนเทนต์ 85 – 90% ที่บริโภคผ่านออนไลน์มาจากทีวี จึงมั่นใจว่า “ทีวี” ยังไปต่อได้ ปัจจุบันช่อง 3 มีคอนเทนต์ละครที่คนติดตามดูทั่วประเทศ การทำงานจึงต้องไปทั้ง 2 แพลตฟอร์ม ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ด้วยบทบาทการเป็น Entertainment & Content Platform

การตัดสินค้าคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 2 ช่อง ก็เพื่อต้องการทุ่มเทกับช่อง 3 ธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดของบีอีซี เพื่อทำให้ช่อง 3 กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม ทำงานหลังจากนี้จะใกล้ชิดกับลูกค้าและเอเยนซีมากขึ้น ด้วยการนำเสนอ Solution การสื่อสารและทำตลาดที่ต้องเป็นมากกว่าการขายโฆษณาแบบ CPRP แต่ต้องไปมากกว่านั้น

ครึ่งปีหลังได้เปิดตัวไลน์อัพละคร 13 เรื่อง จากผู้จัดและนักแสดงชื่อดัง ที่ถือเป็น Core Asset และหัวใจสำคัญของช่อง 3 วันนี้ทั้งลูกค้าและเอเยนซีที่สนใจเรื่องใดสามารถเลือกเรื่องที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย และเริ่มวางแผนทำงานร่วมกันตั้งแต่วันนี้ ทั้งรูปแบบ Tie in, กิจกรรม, แคมเปญออนไลน์ “สิ่งที่จะเห็นหลังจากนี้ ช่อง 3 จะเริ่มเปลี่ยนแปลงในเชิงรุก”

“ช่องวัน” ปั้นแบรนด์ “ละคร” ฮิตซีรีส์ “เรือน”

เป็นอีกช่องทีวีดิจิทัลที่มี “ละคร” เป็นคอนเทนต์นำ สำหรับ “ช่องวัน” เพราะมีทีมผลิตเดิมของ เอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ” ที่ดูแลโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ และเป็น ซีอีโอ ช่องวัน ปัจจุบัน

ช่องวันใช้กลยุทธ์ปูพรมคอนเทนต์ “ละคร” 3 ช่วงหลัก คือ ละคร 19.00 น. จับกลุ่มครอบครัว ละคร 20.00 น. กลุ่มแมส เนื้อเรื่องมีความหวือหวาขึ้น และละคร 21.20 น. ระดับ น.13 เจาะนิชมาร์เก็ต คนกรุงเทพฯ ที่เพิ่งเดินทางกลับถึงบ้านและกลุ่มเมือง การใส่เส้นละครในช่วงไพรม์ไทม์ต่อเนื่องตั้งแต่ 19.00 – 22.30 น. เพื่อดึงคนดูให้อยู่ยาวกับช่อง ตั้งแต่เดือนมี.ค. – พ.ค. เรตติ้งไพรม์ไทม์ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 รองจากช่อง 7 และ ช่อง 3

นิพนธ์ ผิวเณร

นิพนธ์ ผิวเณร ผู้บริหารด้านการผลิตคอนเทนต์ ช่องวัน 31 กล่าวว่าครึ่งปีหลังยังมีละครใหม่ลงจอต่อเนื่องในทั้ง 3 ช่วงหลัก ไม่ว่าจะเป็น เรือนไหมมัจจุราช สงครามนักปั้น 2 เสียงเอื้อนสะเทือนดาว ภูตพิศวาส ฤกษ์สังหาร รักย้อนเวลา

ละครไฮไลต์ที่เป็นแบรนดิ้งชัดเจนของช่องวัน ก็คือ ละครแนว “พีเรียด” ที่มี Gadget หรือการใช้สัตว์และสิ่งของ เป็นตัวเดินเรื่องคลี่ปม ไม่ว่าจะเป็น ยาพิษ งูพิษ ตะขาบ พิณ ในกลุ่มซีรีส์ “เรือน” ที่ออนแอร์ไปแล้ว 3 ซีรีส์ ปีละเรื่อง

  • เรือนเสน่หา Gadget คือ บึ้ง
  • เรือนร้อยรัก Gadget คือ กิ่งเหมยในกองไฟ สมุนไพร คางคก
  • เรือนเบญจพิษ Gadget คือ 5 สัตว์พิษ งูพิษ แมงป่อง ตะขาบ คางคก แมงมุมพิษ
  • เรือนมัจจุราช กำหนดออนแอร์ปลายไตรมาส 3 ปีนี้ Gadget จะมีทั้งสัตว์และสิ่งของ เหมือนเดิมแต่การใช้จะล้ำกว่าทุกภาคออกแนว พีเรียดไทยผสมเคล็ดวิชาหนังจีนกำลังภายใน ต่อสู้แนว Avengers

“วันนี้จะทำคอนเทนต์เรียบๆ ง่ายๆ คงไม่ได้อีกแล้ว แต่ต้องใส่ Creativity ในคอนเทนต์ที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดเป็นเรื่องของครีเอทีฟล้วนๆ การทำละครแม้พล็อตเรื่องจะดูง่ายแต่ต้องนำเสนอแบบมีลีลาในการคลี่บท เพราะเมื่อคอนเทนต์เดาง่าย พรีเซนเทชั่นต้องไม่ง่าย ถ้าเป็นเรื่องเดิม ก็ต้องพรีเซนต์ในมุมใหม่ แต่หากเป็นเรื่องใหม่ก็สามารถพรีเซนต์แบบเดิมได้ ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องใหม่เสมอ”  

ที่ผ่านมาละคร ซีรีส์ “เรือน” ของช่องวัน มีการตอบรับที่ดีจากผู้ชม ต่างจากละครพีเรียดทั่วไปที่เดินเรื่องเนิบๆ แต่ซีรีส์เรือนจะตื่นเต้น มีความ Fantasy วันนี้มีความชัดเจนว่าละคร “เรือน” ของช่องวัน มีแบรนด์ชัดเจน ที่ผู้ชมจดจำได้ว่าเป็นลายเซ็นของช่องวัน

“ในโลกยุคใหม่ของคอนเทนต์ เราทำอะไรแบบเดิมไม่ได้ แม้หน้าหนังเป็นพีเรียด แต่ต้องมีคอนเทนต์ที่คาดเดาไม่ได้ วันนี้ผู้ชมดูละครจากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งทีวี ออนไลน์ ที่มีละคร ออริจินัล คอนเทนต์เช่นกัน ดังนั้นคอนเทนต์ต้องทำงานหนักกว่าเดิม คือทำให้ผู้ชมอยู่กับหน้าจอไม่เปลี่ยนไปไหน”

ดังนั้นการรับรู้เกี่ยวกับคอนเทนต์ด้วยรูปแบบเดิมๆ คือ มีพระเอก นางเอก ผู้ร้าย “ไม่พอ” แต่ต้องทำให้ติดด้วยกิมมิกต่างๆ เพื่อดึงให้คนดู Stay tuned กับสถานี หากหาสิ่งเหล่านี้เจอก็คือ “ผู้ชนะ” ในเกมคอนเทนต์ แต่หากหาไม่เจอทำอย่างไรก็ไม่ชนะ เพราะดาราและโปรดักชั่นวันนี้เท่ากันหมด

ซีรีส์ “เรือน” ถือเป็นแบรนด์ละครของช่องวัน ที่ต้องมีปีละ 1 เรื่อง ซึ่งได้รับความสนใจจากเอเยนซีจองโฆษณาเต็ม!! เพราะเชื่อมั่นในแบรนด์ละครช่องวัน ถือเป็น “แบรนดิ้ง โปรเจกต์” ที่ต่างจากละครช่องอื่นๆ ความแตกต่างของสถานีทีวี คือ การเป็นคอนเทนต์ โปรวายเดอร์ ที่มี Creative House เป็นของตัวเอง มีคนเขียนบท ผู้กำกับ ครีเอทีฟที่เซ็นสัญญากับช่อง ซึ่งแตกต่างจากระบบ “ผู้จัดละคร” เพราะคอนเทนต์จะอยู่ที่ผู้จัดนำมาเสนอช่อง

“ก้าวต่อไปของซีรีส์แบรนด์เรือน เป็นเรื่องที่คิดและทำยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องหนีตัวเองให้ได้ เพื่อไม่ทำเรื่องซ้ำเดิม ละครภาคต่อที่จะไปต่อได้ ธีมต้องชัดเจนว่าจะบอกอะไรให้อะไรกับคนดู ต้องมีศิลปะบนเชิงพาณิชย์ ต้องผสมผสานกันอย่างลงตัว”

 “พีพีทีวี” ของแจมละคร

หลังสร้างคอนเทนต์ในฝั่งกีฬาและวาไรตี้ ระดับ “เวิลด์คลาส” ให้เป็นที่รู้จักแล้ว ศึกทีวีดิจิทัลครึ่งปีหลัง “พีพีทีวี” ขอลงสนามแข่ง “ละคร” อีกราย หวังขยายฐานคนดู “ขยับเรตติ้ง” ให้อยู่ในอันดับท็อป 3 – 5

สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี กล่าวว่า ปีนี้ยังคงใช้เม็ดเงินลงทุนคอนเทนต์กว่า 1,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ผ่านมา เพิ่มรายการใหม่ๆ ลงผังในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะเชื่อว่าจะเป็น “โอกาส” ขยายฐานคนดูและเรตติ้งได้

ช่วงครึ่งปีหลังนี้ “พีพีทีวี” ตั้งความหวังไว้กับ “ละคร” จะเป็นหนึ่งในคอนเทนต์สำคัญช่วย “พลิก” เกมให้ “พีพีทีวี” ขยายฐานไปยังกลุ่มคนดูทั่วประเทศ และช่วยเพิ่มเรตติ้งผังรายการวันพุธ-พฤหัส-ศุกร์ ที่ยังมีเรตติ้งต่ำอยู่ เมื่อเทียบรายการวันจันทร์ ที่มีเดอะ วอยซ์ วันอังคาร กิ๊กดู๋ สงครามเพลงเงินล้าน และเสาร์อาทิตย์ รายการฟุตบอล มีเรตติ้งแข็งแรงกว่า

ละครเรื่องแรก “มนตรามหาเสน่ห์” ผลิตโดย ผู้จัด หกสี่เอี่ยว ออนแอร์ ช่วงไพรม์ไทม์เวลา 20.15 น. เริ่มวันที่ 19 มิ.ย. เป็นต้นไป และยังอยู่ระหว่างผลิตอีก 10 เรื่อง เน้นความหลากหลาย และหากละครไปได้ดี ก็มีโอกาสขยายเวลาออกอากาศเพิ่มขึ้นด้วย

จุดแข็งของพีพีทีวียังอยู่ที่รายการฟุตบอลและต่อไปจะเป็น “ละคร” ที่จะลงทุนรูปแบบเดียวกับช่องใหญ่ มีทั้งทีมงาน ดาราดังและดาราที่ช่องปั้นขึ้น โดยเซ็นสัญญาเข้าสังกัดแล้ว เช่น ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล และ อุษามณี ไวทยานนท์ รวมทั้งผู้จัดละครอีกหลายราย เช่น กันตนา, หนุ่ม-อรรถพร ธีมากร, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เชื่อว่า พีพีทีวี จะสร้างความแตกต่างและเป็นช่องทางเลือกได้

ผู้บ่าวอินดี้ ยาหยีอินเตอร์

ครึ่งปีหลัง “ช่อง7” อัด “ซีรีส์-วาไรตี้”

เรตติ้งเบอร์ 1 ทีวีดิจิทัล “ช่อง 7” จัดผังละครทั้งปี 2562 ไว้กว่า 30 เรื่อง ครึ่งปีหลังยังมีหมัดเด็ดของพระเอกซุปตาร์ “เวียร์ ศุกลวัฒน์” กับละครเรื่อง ผู้บ่าวอินดี้ ยาหยีอินเตอร์ ที่เริ่มตอนแรกวันที่ 16 มิ.ย. นี้ ส่วน “ยอดรักนักรบ” ต้องมารอลุ้นว่าจะทันออนแอร์ปีนี้หรือไม่

ส่วนคอนเทนท์แม่เหล็กทั้งรายการวาไรตี้ ซีรีส์ดัง ครึ่งปีหลังขนมาลงจอเพียบ ทั้งรายการทำอาหารระดับโลก “THE NEXT IRON CHEF ศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก” รายการใหม่ “World Star ดาวคู่ดาว” ซีรีส์เกาหลี “วิมานวาดฝัน” (SKY CASTLE) ซีรีส์ที่ได้รับกระแสตอบรับท่วมท้นของเกาหลีใต้ รายการสู้เพื่อฝัน (BATTLE OF DREAMS) ค้นหาบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปหน้าใหม่ ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท

สถานการณ์การแข่งขัน “ทีวีดิจิทัล” ครึ่งปีหลัง คงต้องจับตาดูช่อง “ผู้นำ” เรตติ้งว่า ละครที่เตรียมไว้ จะสร้างกระแสได้ตามเป้าหมายหรือไม่ และละครของช่องผู้ท้าชิง มีลุ้นขึ้นมาเป็นตัวเลือกดึงผู้ชมได้หรือไม่ ท่ามกลางเม็ดเงินโฆษณาทีวีปีนี้ที่ยังอยู่ในอาการซึมๆ.

ข่าวเกี่ยวเนื่อง

]]>
1234800
พีพีทีวี คว้าสิทธิ์พรีเมียร์ลีก https://positioningmag.com/1234452 Thu, 13 Jun 2019 09:55:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1234452 หลังจากที่กลุ่มทรูประกาศไปแล้วว่า ได้ดีลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งถือเป็นลีกต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชมคนไทยมากที่สุด ไปถ่ายทอดสดในช่องทางของกลุ่มทรู ทั้งในเพย์ทีวี, ทีวีออนไลน์ และทางมือถือไปแล้วนั้น 

ล่าสุดมีรายงานข่าวยืนยันว่า กลุ่มทรูและพีพีทีวี ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่า พีพีทีวีได้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในส่วนที่เป็นการออกอากาศในช่องทาง “ทีวีดิจิทัล” เท่านั้น ต่อจากกลุ่มทรู เป็นระยะเวลา 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาลปี 2019/20/ จนถึง 2021/22

ตามข้อตกลงนั้น ลิขสิทธิ์ในการออนแอร์สดทางช่องทางทีวีดิจิทัล จะมีไม่เกินปีละ 30 แมตช์ ซึ่งจะเลือกแมตช์ใหญ่ ที่มีทีมชื่อดังที่เป็นที่ชื่นชอบของคอบอลไทยลงแข่งขัน โดยจะเป็นการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างต่อเนื่องของพีพีทีวี ที่ได้ซื้อสิทธิ์ต่อมาจาก beIN มาตั้งแต่ปี 2016/17 เป็นต้นมา

ภาพ : facebook.com/pg/premierleague

ส่วนที่ทรูวิชั่นส์ ยอมขายลิขสิทธิ์ให้พีพีทีวี เพื่อในฟรีทีวีด้วยนั้น ก็เพื่อเป็นการโปรโมตแบรนด์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปยังคนดูทั่วไปให้กว้างขึ้น และยังมีรายได้จากการขายสิทธิ์กลับเข้ามาด้วย 

สำหรับพีพีทีวี คอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกถือเป็นคอนเทนต์สำคัญของช่อง ที่เรียกเรตติ้งสูงที่สุดของช่องทุกครั้ง ที่มีการแข่งขันแมตช์ใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ มีเรตติ้งสูงกว่าฟุตบอลลีกประเทศอื่นๆ และกีฬาประเภทอื่นที่พีพีทีวีซื้อลิขสิทธิ์

พีพีทีวี ตั้งราคาขายโฆษณาถ่ายทอดรฟุตบอลดังไว้ที่ 3 แสนบาท/นาที ในขณะที่ราคาเฉลี่ยทั้งช่องเฉลี่ย 1.7 หมื่นบาท/นาที

สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์ พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 เคยให้สัมภาษณ์ว่า พีพีทีวีสนใจซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เนื่องจากเป็นคอนเทนต์ฟุตบอล (ลีกอังกฤษและเยอรมัน) ที่ได้รับความนิยมจากคนดูเป็นอันดับแรกๆ แต่ทั้งนี้จะได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขราคา” เป็นหลัก หากราคาไม่สูงเกินไปทางช่องก็ไม่มีปัญหาในการซื้อถ้าราคาโอเคก็ตกลง

พีพีทีวี เตรียมงบด้านคอนเทนต์ไว้ทั้งหมด 1 พันล้านบาท ทั้งกีฬา วาไรตี้ และละคร หากจำนวนเงินที่ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษใกล้เคียงกับต้นทุนเดิมก็ไม่มีปัญหา

ภาพ : facebook.com/pg/premierleague

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 Facebook เป็นผู้ชนะการประมูลถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อหวังเปิดตลาดทีวีออนไลน์ทาง Facebook โดยมีรายงานข่าวเบื้องต้นว่า ดีลนี้มีมูลค่าการประมูลกว่า 200 ล้านปอนด์ แต่ดีลนี้ล้มเลิกกลางคัน จนทางพรีเมียร์ลีกอังกฤษต้องเปิดประมูลใหม่อย่างเร่งด่วนในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในการเรียกประมูลใหม่นี้ มีผู้ประกอบการทีวีหลายรายให้ความสนใจพอสมควร แต่ในที่สุดกลุ่มทรูก็คว้าชัยในการเจรจาครั้งนี้ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีบริการครอบคลุมทั้งหมด ทั้งเพย์ทีวี ออนไลน์ และทีวีดิจิทัล อีกทั้งยังมีประวัติจากผู้ที่เคยมีผลงานการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกมาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาคือ จะต้องมีแผนที่จะช่วยโปรโมตกิจกรรมและสร้างชื่อเสียงต่อยอดของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกให้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยด้วย

มูลค่าดีลของทรูวิชั่นส์ ไม่ได้มีการเปิดเผย แต่เป็นราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเท่ากับราคาประมูลก่อนหน้านี้

แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับกลุ่มทรู ได้มีการเปิดเผยไปแล้วว่า ได้เตรียมการถ่ายทอดสดทั้ง 360 แมตช์ต่อฤดูกาล โดยที่ทรูวิชั่นส์ได้เตรียมเปิด 6 ช่องฟุตบอลเพื่อรองรับการถ่ายทอดสดครั้งนี้โดยเฉพาะ พร้อมเตรียมแผนการตลาดช่วยโปรโมตอย่างเต็มที่ นับเป็นการกลับมาได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดโดยตรงจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษอีกครั้งของทรูวิชั่นส์

ภาพ : facebook.com/pg/premierleague

ทรูวิชั่นส์ถือลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก มาตั้งแต่ปี 2007/08 จนถึง 2012/13 แต่มาสะดุดในปี 2013/14 จนถึง 2015/16 ซึ่งเป็นปีที่ราคาประมูลในส่วนของประเทศไทยสูงมากติดอันดับโลก โดยที่บริษัท ซีทีเฮช ชนะประมูลไปในราคาประมาณ 202 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนปี 2555) แต่หลังจากนั้น บีอินสปอร์ต เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ได้ในปี 2016/17 จนถึง 2018/19  ซึ่งบีอินสปอร์ตได้ขายสิทธิ์ต่อให้กับทรูวิชั่นส์ ในช่องทางเพย์ทีวี และขายให้แก่พีพีทีวีในช่องทางทีวีดิจิทัล

คอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของทรูวิชั่นส์ และทรูไอดี ที่เรียกผู้ชมเข้ามาเป็นสมาชิกได้มากขึ้น จากข้อมูล ณ ไตรมาสแรกของปี 2562 ทรูวิชั่นส์มียอดลูกค้ารวมกว่า 4 ล้านราย ส่วนแอปพลิเคชั่นทรูไอดี มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 5 ล้าน.


ข่าวเกี่ยวเนื่อง

]]>
1234452
กีฬา-วาไรตี้มีแล้ว ครึ่งปีหลังต้องรบด้วย “ละคร” กลยุทธ์ “พีพีทีวี” ยุคแลนด์สเคปทีวีเปลี่ยน https://positioningmag.com/1233216 Wed, 05 Jun 2019 15:01:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233216 ต้องนับเป็นความพยายามอีกครั้งของ “พีพีทีวี” หลังมาตรการคืนช่องจ่ายเงินชดเชย ส่งผลให้ “แลนด์สเคป” ทีวีดิจิทัลเปลี่ยนไป เหลือผู้เล่น 15 ราย จาก 22 ราย

เมื่อพีพีทีวีภายใต้การนำของสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ พีพีทีวี เลือก “อยู่ต่อ” ครั้งนี้จึงต้องจัดหนัก ในการปรับเปลี่ยน “กลยุทธ์” จากช่องที่เคยเด่นเรื่อง “กีฬา” มาสู่ ช่อง “วาไรตี้” เต็มรูปแบบ โดยเติมคอนเทนต์บันเทิง เพื่อขยายฐานคนดู “ขยับเรตติ้ง” ให้อยู่ในอันดับ Top 3 – 5

สุรินทร์ มองว่า จากนี้ทุกช่องยังแข่งขันเหมือนเดิม แต่โจทย์ใหญ่ทีวีรอบนี้อยู่ที่แลนด์สเคปของทีวีและเม็ดเงินโฆษณาเปลี่ยน เม็ดเงินโฆษณาลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากเจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นผู้ซื้อโฆษณารายสำคัญ ใช้เงินโฆษณาทีวีลดลง เพราะไม่มีการออกสินค้าใหม่ และบางส่วนหันไปโฆษณาบนออนไลน์ ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาหายไป 20 – 30% ทีวีดิจิทัลหลายช่องยังต้องระวังค่าใช้จ่าย อาจหยุดขยายหรือเพิ่มรายการ

ตรงกันข้ามกับ พีพีทีวี ของหมอเสริฐ หรือ ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทย ยังคงใช้เม็ดเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ผ่านมา เพิ่มรายการใหม่ๆ มาลงผังในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะเชื่อว่าจะเป็น “โอกาส” ของช่องทุนหนาอย่างพีพีทีวี ที่จะขยายฐานคนดู และเรตติ้ง ในขณะที่ช่องอื่นๆ อาจต้องชะลอการลงทุน หรือลดต้นทุน

พีพีทีวี ตั้งความหวังไว้กับ “ละคร” จะเป็นหนึ่งในคอนเทนต์สำคัญที่ช่วย “พลิก” เกมให้กับ “พีพีทีวี” ในการขยายฐานไปยังกลุ่มคนดูทั่วประเทศ และยังช่วย “ปิด” จุดอ่อน ให้กับผังรายการวันพุธ-พฤหัส-ศุกร์ ที่ยังมีเรตติ้งต่ำอยู่ เมื่อเทียบรายการในวันจันทร์ ที่มีเดอะ วอยซ์ –วันอังคาร กิ๊กดู๋ สงครามเพลงเงินล้าน และเสาร์อาทิตย์ รายการฟุตบอล มีเรตติ้งแข็งแรงกว่า

โดยละครเรื่องแรก “มนตรามหาเสน่ห์” ผลิตโดย ผู้จัด หกสี่เอี่ยว ออนแอร์ ช่วงไพรม์ไทม์เวลา 20.15 เริ่มวันที่ 19 มิถุนายน เป็นต้นไป ยังอยู่ระหว่างผลิต 10 เรื่อง เน้นความหลากหลาย และหากไปได้ดี ก็มีโอกาสขยายเวลาออกอากาศเพิ่มขึ้นด้วย

“ละครที่เราผลิตรอบนี้ ไม่เหมือนกับที่พีพีทีวีเคยทำมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะมีความพร้อมเรื่องของทีมงาน สร้างความมั่นใจให้กับดารา โดยเซ็นสัญญาเข้าสังกัดแล้ว เช่น ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล และ ขวัญ อุษามณี รวมทั้งผู้จัดละครอีกหลายราย เช่น กันตนา, หนุ่ม-อรรถพร ธีมากร, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง”

สุรินทร์ บอกด้วยว่า รายการวาไรตี้ ไม่ได้เพิ่มฐานคนดูอย่างที่ควรจะเป็น เช่น รายการกิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้าน ที่ดึงมาจากช่อง 7 โดยหวังจะเป็น “แม่เหล็ก” สำคัญที่ใช้ขยายฐานคนดูไปทั่วประเทศ แต่กลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แม้จะทำเรตติ้งอันดับ 2 ให้กับช่อง แต่คนดูยังเป็นคนกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ตามโปรไฟล์ของช่อง แต่เชื่อว่า “ละคร” จะขยายฐานคนดูไปสู่แมสได้

สำหรับพีพีทีวี “กีฬา” ยังเป็น “จุดแข็ง” ทำเรตติ้งอันดับ 1 ให้กับช่อง โดยเฉพาะฐานคนดูผู้ชาย ครึ่งปีหลังจึงเพิ่ม คือ รายการแข่งขันชกมวยระดับโลก “ท็อปแรงค์” (Top Rank Boxing) ออนแอร์ 8 โมงเช้า วันที่ 16 มิถุนายน และถ่ายทอดสดแข่งขันฟุตบอลชาย ทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 22 ปี “Merlion Cup 2019”

รวมถึงถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง ครั้งที่ 8 จากประเทศฝรั่งเศส มีทีมฟุตบอลหญิงชาติไทยผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกเป็นปีที่ 2 ถ่ายทอด 7 นัด และถ่ายทอดสดฟุตบอลอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น อินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนคลับ ถ่ายทอดสดติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว

“ส่วนรายการถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลหน้านั้น จะคว้ามาได้หรือไม่นั้น อยู่ที่ราคาเป็นเงื่อนไขสำคัญ ต้องใกล้เคียงกับของเดิม แต่เราก็เติมคอนเทนต์กีฬามาตลอด อย่างเดือนนี้ก็มีรายการมวย เทนนิส และฟุตบอลลีกอื่นๆ เข้ามาเพิ่ม”

ถ่ายทอดสด มิสยูนิเวร์ส ไทยแลนด์ ปี 2562 ซึ่งได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด รอบชุดว่ายน้ำ รอบพรีลิมมินารี (Preliminary) และรอบตัดสิน (Final) โดยเจรจาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเป็นปีต่อปี

พลากร สมสุวรรรณ กรรมการรองผู้อำนวยการใหญ่ สายรายการและการตลาด สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี บอกว่า ครึ่งปีหลังจะเพิ่มรายการข่าว และรายการข่าวบันเทิง Pop News Daily ลงผัง

ส่วนรายการ “วาไรตี้” จะลง Food Truck Battle รายการผสมระหว่างการทำอาหารและขายอาหารบนรถ Food Truck โดยมีนักร้องไทย-เกาหลีมาแข่งขัน

รายการ Garage Story เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในโรงจอดรถหลากหลายสไตล์ รวมทั้งแพลตฟอร์มจากประเทศอังกฤษมาผลิตเวอร์ชั่นไทย “The Great Thai Bake off” เป็นรายการค้นหานักอบขนมคนแรกของไทยและเอเชีย ออนแอร์ต้นเดือนกรกฎาคม

รวมทั้งซีรีส์เกาหลี ที่จะออนแอร์ต่อจากละครในวันพุธ และพฤหัส เพื่อหวังดรึงคนดูให้อยู่กับช่องนานที่สุด

ประเมินจุดอ่อน-จุดแข็ง

สุรินทร์ ยอมรับว่า จุดอ่อนของพีพีทีวียังเข้าถึงผู้ชมไม่ทั่วถึง จึงต้องออกแคมเปญ “ละครช่อง 36 สนุกเข้มเต็มจอ” ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสิ่งพิมพ์ สื่อนอกบ้าน สื่อออนไลน์ รวมทั้งการทำกิจกรรม on ground นำ ดารา นักแสดง พิธีกรข่าว ไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้ชมทั่วประเทศ

“พีพีทีวี ยังเป็นช่องทางเลือกที่คนสวนใหญ่คิดว่าไม่มีอะไร เพราะคนยังติดละครช่อง 3 ช่อง 7 และบางส่วนหันไปดูออนไลน์ แต่จริงๆ แล้วความสนุกยังอยู่ที่ตัวทีวี”

จุดแข็งของพีพีทีวียังอยู่ที่รายการฟุตบอล และต่อไปจะเป็น “ละคร” ที่จะลงทุนในรูปแบบเดียวกับช่องใหญ่ มีทั้งทีมงาน ดาราดังและดาราที่ช่องปั้นขึ้น และรายการใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา เชื่อว่าจะทำให้พีพีทีวีสร้างความแตกต่างได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ที่จริงแล้ว ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา พีพีทีวีภายใต้การนำของสุรินทร์ พยายามทุ่มเม็ดเงินเพื่อปรับจุดยืน เพื่อขยายฐานคนดูมาตลอด และที่ปรับใหญ่ คือ การเป็น “เวิลด์คลาส เอ็นเตอร์เทนเมนต์” และก่อนหน้านี้คือการดึงรายการดังจากช่องอื่นมาเพื่อดึงคนดูในกลุ่มแมส แต่ก็มีหลายรายการยังไม่ถึงเป้าหมาย

“King of Games เรียลลิตี้เกมโชว์ ที่คาดหวังจะเจาะวัยรุ่นที่ชื่นชอบเกม ก็ยังไม่ “ปัง” อย่างที่คิด รวมทั้งรายการข่าวเรตติ้งก็ยังไม่ดีนัก ยกเว้นข่าวเข้มข่าวค่ำ ทำเรตติ้งได้เมื่อเทียบกับช่องอื่นๆ“

สุรินทร์ มองว่า จากนี้ไป โอกาสในการ “ซื้อ” รายการดีๆ ในราคา “ถูกลง” จะมีมากขึ้น เพราะคนซื้อหายากขึ้น ดังนั้นรายการแพงๆ ที่เคยซื้อมาแต่ทำเรตติ้งไม่ดีก็จะยกเลิก ไปซื้อรายการอื่นๆ แทน

“เราไม่คิดเหมือนช่องอื่นๆ เขาจะคุยเรื่องลดต้นทุน แต่เราคุยเรื่องทำอย่างไรจะได้รายการดีๆ เข้ามาและสร้างการเติบโตของรายได้

แม้พีพีทีวีจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงฐานดูได้รวดเร็ว แต่ด้วยคอนเทนต์รายการที่นำมาลง ทำให้ครึ่งปีแรกรายได้เติบโต 60% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานที่ต่ำ และยังขาดทุนกำไร แต่ภายในสิ้นปี รายได้จะเติบโตเท่าตัว หรือ 100%

เป้าหมายของสุรินทร์ คือ การนำพาพีพีทีวีขึ้นไปอยู่ในอันดับท็อป 3-5 ของทีวีดิจิทัล เพราะเรตติ้งไม่หนีกัน ยกเว้นอันดับ 1 และ 2 ที่เรตติ้งยังห่างไกล

“ผมเชื่อว่า ทีวีไม่เหมือนสินค้าอื่น คนดูทีวีไม่มีความผูกพัน เพราะเขาดูความบันเทิง ถ้าเรามีรายการบันเทิงที่เขาถูกใจ ก็สามารถดึงผู้ชมมาอยู่กับเราได้ แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลาเติบโต”

]]>
1233216
เปิดรายได้ 2 ช่องทีวีดิจิทัล ปี 61 ช่อง 7 กำไร 1.6 พันล้าน – พีพีทีวี ขาดทุน 1.8 พันล้าน เป็นปีที่ 5 https://positioningmag.com/1230414 Fri, 17 May 2019 07:02:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1230414 หลังจากทีวีดิจิทัลถูกปลดล็อกให้คืนช่องได้ โดยมีทีวีดิจิทัลตัดสินใจคืนช่องไป 7 ราย เหลือทีวีดิจิทัลขอสู้ต่อ 15 ช่อง ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น เพราะเม็ดงินโฆษณาทีวีลดลงไปเรื่อยๆ 

มาดูกันว่า ปี2561 ที่ผ่านมา ช่องไหนสะสมพละกำลัง สร้างรายได้ และกำไรได้มากน้อยแค่ไหน

จากข้อมูลที่แจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล พบว่าเวลานี้เพียงช่อง 2 ช่อง คือ ช่อง 7 และพีพีทีวี ที่แจ้งข้อมูลแล้ว

ช่อง 7 ยังคงรั้งแชมป์เรตติ้งอันดับ 1 และรักษาระดับรายได้ไว้ที่ 5,750 ล้านบาท กำไร 1,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.67% เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่ทำกำไร 1,517 ล้านบาท นับเป็นอีกปีที่ช่อง 7 ต้องเผชิญกับรายได้และกำไรลดลง หลังจากมีทีวีดิจิทัล ในปี 2557 ซึ่งมีทีวีดิจิทัลเป็นปีแรก ช่อง 7 ยังทำกำไร 5,510 ล้านบาท หลังจากนั้นลดลงมาทุกปี

สำหรับช่อง พีพีทีวี ของหมอเสริฐ ปราสาททองโอสถ ยังคงเจอภาวะขาดทุน ต่อเนื่องตลอดมาเป็นปีที่ 5 โดยปี 2561 ทำรายได้ 495 ล้านบาท ขาดทุน 1,837 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 9.34% เมื่อเทียบปี 2560 ขาดทุน 2,028 ล้านบาท

ต้องมารอลุ้นกันว่า ปี 2562 พลังดูด 3 รายการดังจากช่องใหญ่ The Voice, กิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้าน ก่อนบ่ายคลายเครียด และละครที่จะออนแอร์ในช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นผลหรือไม่ ในภาวะที่คู่แข่งลดลงเหลือแค่ 15 ราย พีพีทีวีจะพาช่องจากเรตติ้ง 0.164 อันดับ 12 ขึ้นไปติดท็อป 10 และท็อป 5 อย่างที่คาดหวังไว้ได้แค่ไหน.

]]>
1230414
พลังดูดไม่เห็นผล ‘พีพีทีวี’ กุมขมับ 3 รายการ The Voice-ก่อนบ่ายคลายเครียด-กิ๊กดู๋ จากช่องใหญ่ เรตติ้งตก https://positioningmag.com/1229880 Tue, 14 May 2019 23:05:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1229880 แม้ว่าพีพีทีวี” จะเป็นหนึ่งในทีวีดิจิทัล 15 ช่อง ที่อยู่ต่อตามคาดหมาย ด้วยพลังเงินทุนของหมอเสริฐ หรือ ..ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ทำให้พีพีทีวีสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางความท้าทาย จากการวางเป้าหมายต้องผลักดันอันดับเรตติ้งขึ้นไปติดท็อป 10 ในเร็ววัน และขึ้นไปติด 1 ใน 3 ให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า

ทำให้พีพีทีวีจึงต้องเลือกใช้ระดมดูดรายการดังจากช่องใหญ่ ทั้งช่อง 7 และช่อง 3 เข้าเสริมผัง พร้อมตั้งความหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยน ที่จะเริ่มผลักดันช่องเข้าสู่กลุ่มท็อปเท็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 4 เดือน ดูเหมือนว่าเรตติ้งตัวชี้วัดความนิยมรายการเหล่านั้น เริ่มแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังเท่าไรนัก 

The Voice เป็นรายการแรกที่ถูกดึงเข้าพีพีทีวี ช่วงเดือนสิงหาคม 2561 เนื่องจากเป็นรายการใหญ่ ฐานผู้ชมแน่น แต่ต้องโผออกจากอกช่อง 3 ด้วยพิษเศรษฐกิจ ภาวะการแข่งขันสูง เมื่อผู้ผลิตรายการเห็นว่ามีแนวโน้มขาดทุนสูงจากจำนวนสปอนเซอร์ที่ลดลง แม้ว่าช่อง 3 ช่วยลดราคาค่าเช่ารายการให้แล้วก็ตาม แต่ผู้ผลิตรายการประเมินแล้วว่า เป็นไปได้ยากที่ทำกำไรได้ตามเป้าหมาย จึงดอดไปเจรจากับพีพีทีวีที่อ้าแขนรอรับไว้แล้ว

พีพีทีวี มองว่า หากได้รายการใหญ่ มีคนรู้จักดี มีฐานคนดูจำนวนมาก จะช่วยสร้างเรตติ้งได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาสร้างความรู้จัก และคนดูเหมือนกับรายการใหม่

ภาพ : facebook.com/thevoicekidsth

โดยเข้ามาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการ The Voice ทั้งหมด 3 ปี ครอบคลุม รายการ The Voice ปีละ 3 รายการ The Voice, The Voice senior และ The Voice Kids โดยใช้เงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท

ในขณะที่เอพีแอนด์ เจ ผู้ผลิตรายการเดิม ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น เอพีเจ แอนด์ โค ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ผลิตรายการ ไม่ต้องแบกความเสี่ยงในการหาโฆษณา และยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากการหาสปอนเซอร์ด้วย

ภาพ : facebook.com/kikduu

ถัดมาในเดือนธันวาคม 2561 พีพีทีวีเรียกเสียงฮือฮา ด้วยการคว้ารายการกิ๊ก ดู๋ของค่ายเจเอสแอล จากอกช่อง 7

จนช่อง 7 ต้องยกเลิกการออกรายการที่ถ่ายทำค้างไว้ทั้งหมดในช่วงกลางเดือนธันวาคม จนเกิดดราม่าย้ายช่องเจเอสแอลต้องออกมาแถลงข่าวว่า เป็นเพราะปัญหาทางธุรกิจ สปอนเซอร์ลดลง ในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงจากค่าเช่าเวลาที่ช่องจนต้องหันมาสังกัดพีพีทีวี ที่เสนอรูปแบบการจ้างผลิต และมีส่วนแบ่งรายได้จากการหาสปอนเซอร์

ก่อนบ่าย คลายเครียด

รายการที่ 3 ก่อนบ่าย คลายเครียดรายการตลกที่อยู่คู่ช่อง 3 มายาวนานกว่า 20 ปี ประกาศย้ายช่องอย่างกะทันหันในเดือนมกราคม 2562 หลังจากที่โดนช่อง 3 ลดเวลาออกอากาศจาก 5 วันเหลือ 3 วันต่อสัปดาห์ ทำให้เป็ด เชิญยิ้มหอบรายการเข้าเจรจากับพีพีทีวี จนได้ออกอากาศในช่องใหม่ พีพีทีวี ในช่วงเวลาเดิม เป็นเวลา 5 วันเหมือนที่อยู่กับช่อง 3

แต่รูปแบบการเจรจาธุรกิจ ไม่ได้เหมือนกับ 2 รายการก่อนหน้า เนื่องจาก เป็ด เชิญยิ้ม ยังต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการอยู่เหมือนเดิม จึงเป็นรูปแบบการเช่าเวลาช่องพีพีทีวี 

เปิดตัวได้สวย ดันเรตติ้งพีพีทีวีเข้าท็อปเท็น

การเปิดตัวครั้งแรกของ “The Voice” และกิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงินล้านเป็นไปได้ดีพอสมควร โดยเรตติ้งวันเปิดตัวอยู่ที่ 0.575 แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนไปอยู่สูงสุดที่ 0.969 ในตอนที่ 4 หลังจากนั้นก็ได้เรตติ้งเฉลี่ยในช่วง 0.6-0.8 ประคองตัว จนเกิดดราม่า โค้ชป๊อป ปองกูล” ในเรื่องความรักสามเส้า แต่ดราม่าทุกอย่างคลี่คลายได้โดยเร็ว ตอนจบซีซัน 7 ได้เรตติ้ง 0.883 มีเรตติ้งเฉลี่ยทั้งรายการอยู่ที่ 0.775

ส่วนกิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงินล้านเปิดตัวด้วยเรตติ้ง 0.827 กับเทปพี่ตูน บอดี้สแลม แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากการจัดศิลปินนักร้องที่จับกลุ่มแมสมากขึ้น จนได้เรตติ้งเกิน 1 ไปสูงสุดที่ 1.192 ในเทปที่ 5 หลังจากนั้นสถานการณ์เรตติ้งรายการ ค่อยๆ ดิ่งลงทีละนิด จนเทปล่าสุดวันที่ 23 เมษายน 2562 ได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 0.504 เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม แค่เพียง 2 รายการนี้ กับรายการถ่ายทอดสดฟุตบอล ทำให้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ก็สามารถผลักดันพีพีทีวีเข้ามาติดอันดับท็อปเท็นของกลุ่มที่วีดิจิทัล โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พีพีทีวีสามารถเข้ามาติดในอันดับ 10 ด้วยเรตติ้งเฉลี่ย 0.233 เป็นครั้งแรก 

ส่วนก่อนบ่าย คลายเครียดเริ่มมาออกอากาศในเดือนมีนาคม ช่วงเวลาเช้าของจันทร์ศุกร์ เปิดตัวด้วยเรตติ้งเพียง 0.100 เคยลงต่ำสุดที่ 0.067 แต่ก็กลับขึ้นมามีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.1-0.2 มาตลอด ในขณะที่เคยได้เรตติ้งในระดับ 0.7-0.9 ในครั้งที่อยู่กับช่อง 3 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคม ทั้งรายการ The Voice ที่ต่อด้วย The Voice Senior และ The Voice Kids รวมถึงกิ๊ก ดู๋มีเรตติ้งลดลงเรื่อยๆ เนื่องจาก สถานการณ์แข่งขันแย่งชิงอันดับ 10 ในตารางทีวีดิจิทัล เป็นไปอย่างดุเดือดเข้มข้นมาก และเดือนมีนาคม ยังเป็นช่วงการเลือกตั้งใหญ่ของไทย ทำให้รายการข่าวมาแรง เนชั่นทีวีจึงเบียดเข้ามาอยู่ในอันดับ 10 แทน พีพีทีวีหล่นไปอยู่อันดับ 11 ด้วยเรตติ้งเฉลี่ย 0.197  

ผังไพรม์ไทม์จันทร์อังคาร แข่งขันสูง ละครดัง กระแสแรง

หากวิเคราะห์เหตุผลสำคัญที่เรตติ้งรายการดัง ทั้งกลุ่มรายการ The Voice และกิ๊ก ดู๋ลดลงต่อเนื่อง น่าจะมี 2 สาเหตุใหญ่ คือ การปรับช่วงเวลาออกอากาศ และคู่แข่งจากช่องละคร ที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน

เนื่องจากกิ๊ก ดู๋เป็นรายการที่จับกลุ่มผู้ชมตลาดแมสมาตั้งแต่ต้น เมื่อมาอยู่พีพีทีวี จึงมีการปรับรูปแบบรายการเพื่อขยายฐานผู้ชมตลาดแมสให้ช่อง จึงเน้นเชิญนักร้องรับเชิญที่เป็นรู้จักดีในวงกว้างมากกว่า เช่น ไมค์ ภิรมย์พร, ตั๊กแตน ชลดา หรือลำไย ไหทองคำ

ในช่วงที่ กิ๊ก ดู๋ ยังอยู่กับช่อง 7 ถูกวางเวลาออกอากาศในช่วงเวลาดึกหลังละครไพรม์ไทม์ ไม่ต้องไปชนรายการฮอตจากช่องอื่นๆ อีกทั้งการอยู่ที่ช่อง 7 มีฐานผู้ชมเรตติ้งการันตีอยู่แล้ว เมื่อย้ายมาลงช่วงไพรม์ไทม์ทุกวันอังคาร ต้องเจอศึกหนักจากละคร และหลากหลายรายการในช่องอื่นๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้เรตติ้งรายการลดลง

ในขณะที่ The Voice ในช่อง 3 เคยออกอากาศในช่วงวันอาทิตย์เย็น ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของวันหยุด เป็นช่วงเวลาครอบครัว ที่เหมาะกับวางผังรายการที่ดูได้ทั้งครอบครัว แต่ด้วยข้อจำกัดที่ไปชนกับรายการถ่ายทอดสดหลายรายการกีฬาของช่องพีพีทีวี ทำให้ต้องมาลงผังในทุกวันจันทร์ช่วงไพรม์ไทม์แทน

การไปลงผังช่วงไพรม์ไทม์ทุกวันจันทร์อังคาร จะมีคู่แข่งจากทั้งรายการ ละคร จากทั้งช่อง 7, ช่อง 3 ช่องวัน และจีเอ็มเอ็ม 25 ที่กำลังดันละครเต็มที่ ช่วงนี้เจอละครจากช่อง 3 ตั้งแต่ตุ๊กตาผียาวมาถึงละครกระแสแรงกรงกรรมและยังเจอกับรายการวาไรตี้เกมโชว์ จากเวิร์คพอยท์ แถมด้วยรายการข่าวจากไทยรัฐทีวี และอมรินทร์ทีวี ที่วันไหนข่าวฮอต เรตติ้งก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีหนังใหญ่ จากช่องโมโน ที่พร้อมจัดสู้เรียกเรตติ้งบ่อยครั้ง 

ภาพ : facebook.com/TheVoiceThailand

อีกทั้งเมื่อ The Voice ซีซัน 7 จบลง พีพีทีวีเลือก The Voice Senior ออกอากาศต่อ ถึงจะมาเป็น The Voice Kids ทำให้ช่วงจังหวะความนิยมมีการสะดุด เนื่องจาก The Voice Senior ได้รับความนิยมน้อยกว่า The Voice 2018 เกือบครึ่งหนึ่ง แม้จะมีเพียง 4 ตอนเท่านั้นที่คั่นเวลา ก่อนมาถึง The Voice Kids

ดังนั้น ความต่อเนื่อง การสร้างความจดจำผังรายการ ให้กับผู้ชมจึงลดลง ยิ่งเป็นช่องเล็ก เด่นด้านรายการกีฬา ยังไม่มีรายการภาคบันเทิงอื่นๆ ดึงความสนใจของผู้ชมได้มากเหมือนช่องใหญ่ ผู้ชมจำนวนหนึ่งแทบจะลืมไปว่า มีรายการ The Voice ลงผังในทุกวันจันทร์

เหตุผลประกอบทั้งหมด เป็นสาเหตุใหญ่ จึงมีส่วนทำให้เรตติ้งกลุ่มรายการ The Voice ช่องพีพีทีวี ลดลงต่อเนื่อง เพราะนอกจากคอนเทนต์ดีแล้ว กลยุทธ์การจัดวางผังรายการ ช่วงเวลาที่เหมาะสม น่าจะมีส่วนสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน

ผิดไปจากเป้าหมายของพีพีทีวี ที่ตั้งความหวังไว้สูงว่า การดึงคอนเทนต์เด่น รายการดีจากช่องใหญ่ ด้วยการทุ่มทุนเป็นหลักหลายร้อยล้าน มาลงผังจะช่วยสร้างฐานผู้ชมใหม่ให้กับช่อง เพื่อเข้าสู่กลุ่มช่อง TOP 10 อย่างถาวร หรือเข้าสู่ TOP 5 ให้สำเร็จให้ได้ กลายเป็นว่ากลุ่มรายการกีฬา ยังคงเป็นรายการสร้างเรตติ้ง และความนิยมของช่องเหมือนเดิม 

สำหรับผู้ผลิตรายการที่ย้ายช่องมาทั้ง The Voice และ กิ๊ก ดู๋ ในแง่การเงิน คงไม่ได้รับบาดเจ็บ จากผลตอบรับที่ลดลงในครั้งนี้ เพราะถือเป็นการสละเรือลำเก่า มาได้รายได้ที่ชัดเจนในการรับรับจ้างผลิต แต่คนที่รับบทหนัก คือ เจ้าของช่องอย่างพีพีทีวี ที่ทุ่มเทงบประมาณไปเต็มที่

กลางปีนี้ พีพีทีวีมีแผนการนำละครไทย ที่ประกาศทุ่มงบมหาศาลออกอากาศไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงน่าจับตาอย่างยิ่งว่า จะเป็นรายการหมวดบันเทิงที่สามารถสร้างจุดเปลี่ยน เรียกกระแส ความนิยมช่องขึ้นมาอีกครั้งได้มากน้อยแค่ไหน.

]]>
1229880
“Premier league” ส้มหล่น หรือ เผือกร้อน! “PPTV VS True Vision” ใครครอง? https://positioningmag.com/1225274 Wed, 17 Apr 2019 13:59:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1225274 ต้องบอกว่าศึก Premier league  ปี 2019 นี้กำลังจะกลายเป็นเกมพลิกแม้ก่อนหน้านี้ Facebook จะได้สิทธิ์จากการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดปี 2019/2020 -2021/2022 ในเมืองไทยและครอบคลุมอีก 3 ประเทศคือลาว, กัมพูชาและเวียดนาม โดยทุ่มเงินกว่าทุ่มเงิน 200 ล้านปอนด์ หรือราว 8.8 พันล้านบาท เฉือนเอาชนะ BeIN Sports ผู้ถือลิขสิทธิ์ปัจจุบัน และ Fox Sports Asia 

แต่เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2019 ที่ผ่านมา ดีลดังกล่าวกลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถตกลงเงื่อนไขร่วมกันได้ ดีลดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย

จริงๆแล้วหาก Facebook ยังคงได้สิทธิ์การถ่ายทอดสด 3 ปี เจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ของไทยถึง 2 ค่ายคือกลุ่มปราสาททองโอสถเจ้าของช่อง PPTV36 และกลุ่ม CP เจ้าของ True Vision พร้อมที่จะเจรจานำ Premier league มาลงแพลตฟอร์มของตัวเองทั้งคู่

รูป : Facebook Premier league

โดยทั้งสองค่ายพร้อมจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์เต็มที่ ให้สมศักดิ์ศรีกับความเป็นช่องและแพลตฟอร์มคอนเทนต์ระดับโลก และเวิลด์คลาสทั้งคู่

แต่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาด อีกทั้งทาง Premier league ต้องเตรียมเปิดขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดใน 4 ประเทศอาเซียนใหม่ภายในระยะเวลาจำกัด เนื่องจากการเจรจาต้องแล้วเสร็จก่อนเปิดฤดูกาล 2019-20 ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้

จนถึงตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 4 เดือนสุดท้ายดีลนี้จะกลายเป็นส้มหล่นหรือเผือกร้อนขึ้นอยู่กับผู้ที่ได้ไปว่าจะจัดการออกมาอย่างไร สุดท้ายจะซ้ำรอย “CTH” ที่ได้ไปในราคาแพงแล้วขาดทุนย่อยยับจนหายเงียบไปหรือไม่ ศึกครั้งนี้จึงน่าติดตามไม่น้อย

PPTV ขอผ่านไม่คุ้มประมูลเอง พร้อมเสียบแมตช์สำคัญดีกว่า

สำหรับ PPTV ผู้รั้งเรตติ้งเบอร์ 12 ด้วยตัวเลขเฉลี่ย 0.164 ในปีที่ผ่านมายังคงยืนยันคำเดิม พร้อมซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอล Premier league ให้ผู้ชมได้รับชมอย่างที่ผ่านมา ตามแผนงานของ PPTV ที่ชูความเป็น World Class TV and More

จากคอนเทนต์กีฬาเวิลด์คลาส ภายใต้งบลงทุนทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านบาท ที่จะใช้ซื้อคอนเทนต์ใน 2019 แน่นอนว่าลิขสิทธิ์ที่จะซื้อพรีเมียร์ลีกก็พร้อมอยู่ในงบก้อนนี้แล้ว

ที่มา : Facebook PPTV HD 36

แม้ตามแผนของปี 2019 PPTV กำลังต้องการเปลี่ยนภาพ ภาพลักษณ์ จากสถานีสปอร์ตและข่าวที่มีผู้ชมเป็นผู้ชายถึง 60% มาสู่ช่องวาไรตี้และบันเทิงเพื่อขยายไปสู่ผู้ชมระดับแมสทั่วประเทศและฐานผู้ชมผู้หญิงมากขึ้น

ผ่านการเพิ่มคอนเทนต์บันเทิงจากสัดสัดส่วน 30% เป็น 50% ส่วนกีฬาลดลงเหลือ 20% ซึ่งกีฬาจะรีรันเฉพาะแมตช์ใหญ่จริงๆ เท่านั้น ส่วนข่าว 30%

แต่สำหรับ Premier league ถือเป็นลีกกีฬาชื่อดังที่แม้แต่ PPTV ยังพลาดไม่ได้ต้องทุ่มงบเข้าสู้แม้ตัวเลขผลประกอบการที่ผ่านมายังอยู่ในภาวะขาดทุนที่สำคัญยังเพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย

โดยรายได้ย้อนหลัง 5 ปีของ PPTV มีดังนี้

  • ปี 2013 รายได้รวม 21,405.53 บาท ขาดทุน 97,292,543.399 บาท
  • ปี 2014 รายได้รวม 55,283,278.45 บาท ขาดทุน 1,102,611,292.49 บาท
  • ปี 2015 รายได้รวม 195,913,758.01 บาท ขาดทุน 1,799,181,675.83 บาท
  • ปี 2016 รายได้รวม 232,616,122.11 บาท ขาดทุน 1,996,374,458.88 บาท
  • ปี 2017 รายได้รวม 317,156,058.71 บาท ขาดทุน 2,028,758,383.87 บาท
รูป PPTV HD 36

สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารช่อง PPTV กล่าวว่า

“PPTV ยังคงสนใจได้สิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาออกอากาศทางช่อง PPTV36 แม้ว่า Facebook จะล้มดีลไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจาก PPTV เป็นช่องฟรีทีวีย่อมไม่สามารถที่จะถ่ายทอดสดได้ครบทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาลได้จึงไม่มีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลเองแต่มองในลักษณะการเป็นพันธมิตรร่วมถ่ายทอดสดคู่สำคัญในแพลตฟอร์มฟรีทีวีเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม จากเงื่อนไขเรื่องของเวลาที่เหลือน้อยในการทำตลาด จึงคาดเดาได้ยากว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลครั้งใหม่นี้มากน้อยเพียงใด รวมถึงราคาในการประมูลก็คาดเดาได้ยากเช่นกัน ว่าจะสูงขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด ซึ่งอย่างน้อยที่สุดเชื่อว่า True Vision จะเป็นรายหลักๆ ที่เข้าร่วมประมูลใหม่ในครั้งนี้

หาก True Vision ได้ไปย่อมต้องให้ทางช่อง True 4U ซึ่งเป็นฟรีทีวีของตนเองได้สิทธิ์ในการร่วมถ่ายทอดสดแมตช์สำคัญด้วยตามเงื่อนไขของทาง Premier league แต่ทาง PPTV เชื่อว่าทางช่อง PPTV เองพร้อมที่จะร่วมเป็นพันธมิตรฟรีทีวีถ่ายทอดสดอีกช่องหนึ่งเช่นกัน

แต่หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องยอมรับความจริง ส่วนจะมีแผนสำรองรับมือหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ PPTV ขอดูสถานการณ์ก่อน แม่ทัพ PPTV กล่าวทิ้งทาย

ย้อนรอย 20 ปีลิขสิทธิ์ Premier league ในไทย

รูป : Facebook Premier league

สำหรับความนิยมของคนไทยที่ชื่นชอบในการรับชมการแข่งขันฟุตบอล Premier league มีมานานนับสิบปี ซึ่งในช่วงแรกสุดคนไทยจะดู Premier league ผ่านทีวีระบบบอกรับสมาชิก หรือ Pay TV ผ่านทางแพลตฟอร์ม True Vision ซึ่งแรกสุดสามารถรับชมทางช่อง ESPN บ้างหรือสตาร์สปอร์ตบ้าง

หลังจากนั้นทาง True Vision ได้เข้าประมูลสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด Premier league เองและได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007/2008 จนถึง 2012/2013 โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมากลายเป็นว่า Premier league ผูกขาดลิขสิทธิ์ Premier league แต่เพียงรายเดียวในไทย

และถือได้ว่า Premier league เป็นคอนเทนต์แม่เหล็กสำคัญที่ทำให้ True Vision มีฐานสมาชิกที่แข็งแกร่งและเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ในระดับต้นๆ

โมเดลการสร้างรายได้ของ True Vision จาก Premier league จึงไปเข้าตา CTH เข้าในการที่ต้องการเป็น Pay TV ที่แข็งแกร่งพอจะเทียบสู้กับ True Vision ได้เพียงใช้ระยะเวลาอันน้อยนิดผ่านทางลัดหากยังจำกันได้ครั้งนั้น CTH ใช้กลยุทธ์ด้วยการชิงประมูลไปด้วยเม็ดเงินร่วม 5,000 ล้านบาทสูงจากปกติที่ True Vision จ่ายไปกว่า 4-5 เท่า

รูป : Facebook Premier league

ทำให้ Premier league ในช่วงฤดูกาล 2013/2014, 2014/2015 และ 2015/2016 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปต่อเพราะขาดทุนย่อยยับ ต่อมาในปี 2016/2017- 2018/2019 หรือ 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมาช่อง beIN Sports ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอด โดยเฉือนเอาชนะคว้าลิขสิทธิ์ออกอากาศในไทยด้วยเม็ดเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9,900 ล้านบาท)

True Vision ขอทวงคืน

ครั้งนั้น True Vision ได้ซื้อลิขสิทธิ์ต่อจาก beIN Sports มาถ่ายทอดสดอีกทีสัญญา 3 ปีเต็ม ในการถ่ายทอดฤดูกาลปี 2016/17 จนถึงปี 2018/19 ครบ 380 แมตช์ จึงได้อาจกล่าวได้ว่า Premier league กลับมาสู่ True Vision อีกครั้ง

ส่วนครั้งต่อไปหรือ 3 ปีหลังจากนี้ True Vision พร้อมที่จะคว้าลิขสิทธิ์ Premier league มาลงบนแพลตฟอร์มของตัวเองให้ได้อย่างแน่นอน ทั้งในรูปแบบการประมูลเองหรือผ่านช่องกีฬาที่ได้ลิขสิทธิ์ไป

รูป : Facebook TrueVisions

ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ Facebook ประมูลได้ทาง True Vision ก็บอกเองว่าพร้อมที่จะเจรจาสิขสิทธิ์กับ Facebook เพื่อนำ Premier league มาลงจอของตัวเองโดยสาเหตุที่ True Vision ต้องทุ่มหนัก เพราะที่ผ่านมาแม้ฐานผู้ใช้งานของ True Vision จะเพิ่มทุกปี แต่รายได้ต่อเดือนก็ลดลงอย่างน่าใจหายเช่นเดียวกัน

  • ปี 2014 ฐานลูกค้า 2,471,770 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 715 บาทต่อเดือน
  • ปี 2015 ฐานลูกค้า 3,063,475 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 523 บาทต่อเดือน
  • ปี 2016 ฐานลูกค้า 3,930,035 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 379 บาทต่อเดือน
  • ปี 2017 ฐานลูกค้า 3,964,985 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 311 บาทต่อเดือน
  • ปี 2018 ฐานลูกค้า 4,056,625 คน รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ 298 บาทต่อเดือน

ขณะเดียวกันรายได้ของ True Vision ยังอยู่ในภาวะขาดทุนเมื่อนับรวมทั้งเครือที่มี 12 บริษัทกิจการร่วมค้า 1 บริษัทและบริษัทร่วม 1 บริษัท แต่หากนับเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Pay TV โดยตรงจะมี 2 บริษัทด้วย ได้แก่

บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน)

  • ปี 2015 รายได้รวม 17,108,718 บาท ขาดทุน 774,394,603 บาท
  • ปี 2016 รายได้รวม 39,400,814 บาท กำไร 28,276,613 บาท
  • ปี 2017 รายได้รวม 7,615,330 บาท ขาดทุน 13,161,447 บาท

บริษัท ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน)

  • ปี 2015 รายได้รวม 143,707,840 บาท ขาดทุน 155,154,807 บาท
  • ปี 2016 รายได้รวม 97,015,719 บาท ขาดทุน 55,489,746 บาท
  • ปี 2017 รายได้รวม 78,373,471 บาท ขาดทุน 49,526,961 บาท
รูป : Facebook TrueVisions

ดังนั้นหากสามารถดึง Premier league มาไว้ในมือได้ คงช่วยให้ True Vision สามารถเพิ่มรายได้และพลิกกลับมามีกำไรอีกครั้ง เพราะสามารถทำโปรโมชั่นและดึงค่าโฆษณาได้เต็มๆ โดยแหล่งข่าวจากทาง True Vision กล่าวว่า

True Vision เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษทุกครั้ง ซึ่งช่วงหลังมีทั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง และครั้งนี้ทรูวิชั่นส์พร้อมที่จะประมูลเช่นเดียวกัน แต่ต้องคุ้มที่จะลงทุนด้วย

ดังนั้น 3 เดือนจากนี้จึงเป็นเงื่อนไขของการประมูล Premier league ที่สำคัญที่จะส่งผลต่อราคาที่ประมูล เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นไม่เพียงพอต่อการทำการตลาด รวมถึงการหาสปอนเซอร์หรือขายสมาชิก 

สุดท้ายพรีเมียร์ลีกจะกลายเป็นส้มหล่นหรือเผือกร้อน ในกำมือใคร และคนไทยจะได้ชมผ่านช่องทางใดนั้น ผู้ที่ได้ไปคือผู้ตัดสิน ภายใต้การบริหารจัดการที่ต้องเจนสนามพอตัว

Source

]]>
1225274
ดราม่าข่าวร้อน “ป๊อบ ปองกูล” ไม่ช่วยดันเรตติ้ง The Voice ได้เพียง 0.666 https://positioningmag.com/1216433 Tue, 26 Feb 2019 09:00:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1216433 ความร้อนแรงของข่าว “คบซ้อน” นักร้องดัง “ป๊อบ ปองกูล” กับผู้หญิง 2 คน สร้างความสะเทือนต่อรายการ The Voice เสียงจริงตัวจริง เมื่อเรตติ้งรายการในคืนวันที่ 25 ก.พ. 62 ได้เพียง 0.666 เท่านั้น 

เรตติ้งเฉลี่ยของทั้งรายการ ที่ออกอากาศมา 14 ตอนอยู่ที่ 0.756 โดยมีตอนที่ 4 เป็นการแข่งขันในรอบ Blind Audition ได้เรตติ้งสูงสุด 0.969 และในสัปดาห์หน้าจะเป็นการแข่งขันในรอบสุดท้ายหาผู้ชนะในการแข่งขันซีซัน 7 นี้แล้ว 

รายการ The Voice 2018 ปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ย้ายมาออกอากาศทางช่องพีพีทีวี หลังจากที่ปักหลักอยู่กับช่อง 3 มาตลอด 6 ซีซัน โดยซีซันที่ 6 มีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 3.283 

สำหรับ “ป๊อบ ปองกูล” ได้จัดแถลงข่าวด่วน เมื่อเย็นวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ก่อนหน้าเข้าสู่รอบการแสดงสด ในช่วงกลางคืน ท่ามกลางความสนใจของกองทัพสื่อ มีการไลฟ์สด ตามเพจต่างๆ โดยที่ “ป๊อบ” สารภาพว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเขาเองทั้งหมด 

กระแสที่เกิดขึ้นตามมาหลังการแถลงข่าวคือ มีทั้งที่เห็นใจ และที่ยังคงรับไม่ได้ กับการ “คบซ้อน” ของ “ป๊อบ ปองกูล ก่อให้เกิดกระแสทั้งจะเฝ้าหน้าจอรอชม และไม่ขอดูรายการที่เกี่ยวกับป๊อบอีกต่อไปก็มี อย่างไรก็ตาม เรตติ้งก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดได้ดีว่า ผลตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างไร

ก่อนหน้ากรณี “ป๊อบ ปองกูล” มีกระแสข่าวร้อนของ “แมท ภีรนีย์” นักแสดงสาวสังกัดช่อง 3 ที่คบหาดูใจกับ “สงกรานต์ เตชะณรงค์” อดีตสามีของ “แอฟ ทักษอร” กระแสข่าวด้านลบของ “แมท” มีผลกระทบต่อละครที่กำลังออกอากาศของ “แมท ภีรนีย์” ในขณะนั้นเรื่อง “บ่วงนฤมิต”

“บ่วงนฤมิต” กลายเป็นละครที่ทำสถิติมีเรตติ้งต่ำสุดของช่อง 3 ที่เป็นละครใหม่ ออกอากาศในช่วงไพรม์ไทม์ โดยมีเรตติ้งเฉลี่ยทั้งเรื่องอยู่ที่ 1.767 เท่านั้น 

แต่กรณีของป๊อบมีความแตกต่างจากกรณีของแมท เมื่อป๊อบเลือกที่จะขอโทษ สารภาพผิดทั้งหมด รับไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ส่วน “แมท” เลือกที่จะบอกว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด ในฐานะสาวสตรอง ยืนหนึ่ง กว่าจะมาขอโทษก็ใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่กระแสด้านลบแพร่กระจายไปหมดแล้ว 

ท่ามกลางสังคมยุคใหม่ ที่ข่าวร้อนแพร่กระจายได้รวดเร็วทางสื่อโซเชียลมีเดีย ทั้งกรณี “ป๊อบ” และ “แมท” ล้วนเป็น 2 เคสที่น่าสนใจ ทิศทางกระแสจะกระพือต่อไปหรือไม่ หรือเรื่องใดจะจบได้ก่อนกัน.

]]>
1216433