อัญชะลี ไพรีรัก พิธีกรกู้ชาติ

เธอคนนี้ ไม่ใช่พิธีกร นักเล่าข่าวธรรมดาๆ ที่หาได้ตามช่องทีวีทั่วไป ความไม่ธรรมดาของ อัญชะลี ไพรีรัก หรือ เจ๊ปอง สะท้อนให้เห็นเด่นชัดด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่สั่งสมในวงการข่าวมานานนับสิบปี ด้วยบุคลิกมาดมั่น พูดจาฉะฉาน มีลีลาลูกล่อลูกชน บวกกับความรอบรู้ จึงทำให้ผลงานล่าสุดของเธอที่จัดร่วมกับพิธีกรสาวรุ่นน้องนาม “เก๋-กมลพร วรกุล” ในรายการข่าว ยามเช้า ริมเจ้าพระยา ทางเอเอสทีวี นิวส์ 1 ประสบความสำเร็จไต่อันดับจนติดอันดับต้นๆ ประเภทรายการข่าว จากผลสำรวจของเอซี เนลสัน

นอกจากนี้ เธอยังเป็นพิธีกรนำ ในรายการจับตา(ย) กับอัญชะลี และโต๊ะข่าว โต๊ะข่าวออกอากาศเป็นประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์ทางช่องเอเอสทีวี ซึ่งเป็นอีก 2 รายการยอดฮิตที่มีแฟนรายการติดตามชมผลงานเธออย่างเหนียวแน่นอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ การทำหน้าที่ยิ่งกว่าพิธีกรของอัญชะลี ในช่วงการชุมนุมต่อสู้ 193 วันของชาวพันธมิตร ยังเป็นเครื่องยืนยันความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพิธีกรสาวคนนี้ ในการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่เป็นกระจกสะท้อนความจริงให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง โดยไม่ว่าสถานการณ์ชุมชุมจะล่อแหลม เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพียงไร จะเห็นอัญชะลียืนทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และมีพลังปลุกผู้ร่วมชุมนุม เรียกแนวร่วมเข้ามาสนับสนุนอย่างได้ผลทุกครั้งไป

“ถ้าหากมีเงื่อนไขก็เพียงอันเดียว คือ เสรีภาพของเรา คือ เสรีภาพของประชาชน ยิ่งประชาชนรู้ข้อเท็จจริงมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์มากเท่านั้น เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนเป็นเจ้าของพันธมิตร” อัญชะลีย้ำความเชื่อและศรัทธาที่เป็นพลังขับดันให้เธอสู้ไม่ถอย

การต่อสู้กับระบอบทักษิณตั้งแต่ปี 2549 กระทั่งปัจจุบัน ส่งผลให้รุ่นพี่ๆ ในวงการสื่อมวลชนยอมรับและช่วยเหลือเธอ ด้วยการป้อนข้อมูลอินไซด์สำหรับข่าวที่ไม่ได้ตีพิมพ์ หลายประเด็นมาจากแหล่งข่าววงใน คนใกล้ชิดส่งมาให้ แล้วเธอก็นำมาเล่าในข่าวออกอากาศผ่านรายการตั้งแต่เวทีชุมนุมกระทั่งปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน เนื่องจากเป็นคนมีเพื่อนเยอะ รู้จักคนหลากหลายวงการ ทั้งในสื่อมวลชนรุ่นใหญ่ เพื่อนหลากอาชีพ ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รู้เห็นเรื่องราวน่าสนใจ คนในข่าวที่น่าสนใจอะไรก็จะมาเล่าให้เธอฟัง จึงทำให้งานเล่าข่าวของเธอมีมิติเชิงลึกและแม่นยำ

“พี่ไม่ได้ทำข่าวคนเดียว แต่ทำงานร่วมกับรุ่นพี่สื่อแทบทุกฉบับ ส่วนใหญ่เคยทำงานมาด้วยกัน แต่ปัจจุบันยังอยู่ในสนามข่าว ส่งข่าวที่ไม่ได้ตีพิมพ์ทางโทรศัพท์ ทางเอสเอ็มเอสมาให้ ข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อถือได้ เพราะมีตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ก็จะนำมาเล่าบนเวทีให้คนดูฟัง ซึ่งคนดูก็ชื่นชอบมาก เหตุที่รุ่นพี่เหล่านี้ยอมซัพพอร์ตข้อมูลให้ เพราะพวกเขามองว่า เราคือจิตใต้สำนึกของพวกเขา” เธอบอกเคล็ดลับความสำเร็จของคนเล่าข่าวที่ไม่เหมือนใคร กับ POSITIONING

อัญชะลี ยอมรับว่า ชีวิตเกือบครึ่งปีที่ผ่านมาของเธอได้หายไปกับการกู้ชาติ และการทำหน้าที่หลายบทบาททั้งพิธีกร คนเล่าข่าว นักปราศรัย และนักปลุกระดมมวลชน ทั้งหมดเป็นการทำหน้าที่ โดยใช้ขุมพลังความรู้ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่วันเยาว์จนถึงปัจจุบันทั้งหมด แถมยังต้องเดิมพันด้วยชีวิต ในช่วงสุดท้ายที่ทำเนียบรัฐบาลถูกถล่มด้วยปืนเอ็ม 79 ทำให้ต้องดับไฟทั้งทำเนียบ เดินเท้าเข้าไปทำงานตอนตี 4 เพื่อเตรียมตัวทำหน้าที่พิธีกร และเล่าข่าวบนเวทีการชุมนุม

“ถามว่ากลัวมั้ย กลัวค่ะ แต่หน้าที่รออยู่ที่เวที ต้องนั่งระหว่างเวที เพราะป้องกันลูกระเบิดปา ไฟเปิดไม่ได้ ต้องนั่งอ่านหนังสือด้วยไฟฉาย จุดเทียนบางครั้งขึ้นอยู่กับสถานการณ์วันนั้นซีเรียสหรือไม่ อ่านมากไม่ได้เอาเท่าทีได้และรอตอนเช้าค่อยอ่านใหม่ เพราะ 6 โมงเช้าต้องอ่านหนังสือพิมพ์เล่าข่าวให้ผู้ชุมนุมฟัง”

ความทุ่มเทครั้งนั้น นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก เพราะมันแลกมาด้วยกระแสชื่นชม ศรัทธา จากบรรดาผู้ชุมนุม แฟนรายการจำนวนมากจากบรรดาแฟนพันธุ์แท้พันธมิตร ที่คอยเผ้าติดตามผลงานของเธอในรายการเล่าข่าว ผ่านหน้าจอทีวีทุกเช้า หรือตามสถานที่ชุมนุมสำคัญๆ อาทิ ทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ยังเหล่าแม่ยกพันธมิตรหลายราย กลุ่มแสดงความรัก ความห่วงใย ด้วยการนำเอาของขวัญฝากรักให้เจ๊ปองข้างเวทีแทบทุกวัน อย่างมากมายก่ายกอง

“แทบไม่ต้องซื้อของกินของใช้ไปอีก 3 ปี เพราะทั้งเครื่องสำอาง น้ำหอม ลิปสติก แชมพู พี่น้องพันธมิตรให้มาใช้เกือบทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะลิปสติกมีกว่า 200 แท่ง ทุกเฉดสี ทั้งยังมีเครื่องประดับสร้อย กำไล ต่างหู รวมทั้งเสื้อยืดที่แทบทุกภาค รวมแล้วเป็นกระบะ ส่วนเสื้อธรรมดาเยอะจนล้นตู้ เอาไปแจกคนอื่นๆ ต้องบอกให้หยุด แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่งั้นโกรธ”

ล่าสุด แม้ยุติการชุมนุมไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีการเดินสายเวทีการเมืองสัญจรไปตามจังหวัดต่างๆ ก็จะมีพันธมิตรเข้าคิวรอแถวยาวเหยียด เพื่อขอถ่ายรูป แจกลายเซ็นกินเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จ จัดเป็นดัชนีชี้วัดความป๊อปปูล่าของเจ๊ปองยังคงเหนียวแน่นยังไม่เสื่อม

อีกทั้งบ่อยครั้งที่มีการแสดงเพื่อขอบคุณพันธมิตรที่ร่วมต่อสู้ ร่วมเป็นร่วมตายมา อัญชะลีเลือกตอบแทนความเสียสละอันประมาณมิได้ ด้วยการสวมบทบาท “ศิลปิน-นักแสดง” ที่มืออาชีพหลายคนต้องยกนิ้วให้ โดยเฉพาะการแสดงทั้งร้องเพลง เต้นรำ เพื่อเอนเตอร์เทนและให้คุ้มค่าเงินที่ซื้อบัตรเข้ามาของผู้ชมให้อย่างเต็มกำลัง หลายครั้งที่เธอจับไมค์ร้องเพลงเงินบริจาค เพื่อช่วยเหลือเอเอสทีวีเรือนแสนก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาด

“พันธมิตรฯ ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถทำให้เค้าได้รับความสุขบันเทิงทางใจ หลังจากร่วมต่อสู้ชุมนุมกันมานานเกือบปี ให้ทำมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าหากให้พี่น้องพันธมิตรฯ มีความสุขและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายซื้อบัตรเข้ามาในเวทีสัญจร”

เมื่อถามถึงบทบาทใหม่บนเส้นทางการเมือง หลังพันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองใหม่ เธอบอกว่า หากเลือกได้ อยากใช้ชีวิตสงบเป็นนักวิชาการ ทำงานที่เธอรัก อยากสอนหนังสือ ถ่ายทอดประสบการณ์ สำหรับงานเขียนหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก ทำบทสัมภาษณ์ประวัติบุคคล เป็นนักแปล นักถ่ายภาพ และยามว่างก็จัดรายการวิทยุด้านประวัติศาสตร์

“อยากให้ธรรมะจัดสรรอีกครั้ง ช่วยนำพาออกจากสิ่งเหล่านี้ อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา เพราะเราไม่ใช่คนที่หลงใหลได้ปลื้มกับลาภยศ สรรเสริญ แต่เป็นคนง่ายๆ ธรรมดาๆ เพราะชีวิตตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ไม่สามารถไปไหนมาไหนคนเดียว ต้องมีเพื่อน พี่ น้อง คนขับรถ หรือการ์ดคอยดูแลความปลอดภัยติดตามไปด้วย เพราะเมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนชัง แต่ดีใจที่ไปไหนก็พบคนพันธมิตรรักอัญชะลี เชื่อว่าหากตายก็คงไม่โดดเดี่ยว และถ้าเลือกได้อยากกลับไปซิดนีย์อีกครั้ง เพราะเป็นเมืองที่รักมากที่สุด” เธอเปิดใจ และบอกในตอนท้ายว่า

หากเลือกไม่ได้ เธอย้ำว่า ก็จะมุ่งมั่นทำหน้าที่กับภารกิจที่ได้ถูกมอบหมายให้เต็มที่และดีที่สุดไม่ว่าจะบนถนนคนทำข่าว หรือคนการเมือง (ใหม่) และต่อสู้ทางกฎหมายกับข้อหาปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และ 7 ตุลาคาที่รัฐสภา ที่ส่งผลกระทบ ทำให้วีซ่าไปต่างประเทศของเธอไปออสเตรเลียต้องถูกระงับเสียก่อน จึงจะมีโอกาสทำตามฝันของตัวเองเสียที