mai แจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกปี 50 ยอดขายเฉลี่ยโต 15% พบ 6 บริษัทกำไรเพิ่มเกินเท่าตัว

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 43 บริษัทประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2550 มียอดขายรวมกันถึง 8,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิรวม 379 ล้านบาท “ชนิตร” เผยมี 6 บริษัทกำไรสุทธิโตเกินร้อยละ 100 นำโดย SWC, CIG, STAR, FOCUS, TNH และ LVT

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประจำไตรมาส 1/2550 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 ว่าบริษัทจดทะเบียนจำนวน 43 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกัน 379 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 359 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.6 โดยมีบริษัทจดทะเบียน 6 แห่งที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงกว่า ร้อยละ 100

สำหรับยอดขายของบริษัทจดทะเบียนในงวดดังกล่าว รวมแล้วทั้งสิ้น 8,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับงวด เดียวกันของปีก่อน ซึ่งยอดขายรวมอยู่ที่ 7,478 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายสูงกว่าร้อยละ 100 ได้แก่ บมจ. โฟคัส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (FOCUS) ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายร้อยละ 131 และ บมจ. ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายร้อยละ 112

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กล่าวด้วยว่า บริษัทที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิประจำไตรมาส 1/2550 สูงสุด 3 บริษัท ได้แก่ บมจ. เชอร์วู้ด เคมิคอล (SWC) บมจ. ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) และ บมจ. สตาร์ ซานิทารีแวร์ (STAR)

โดย บมจ. เชอร์วู้ด เคมิคอล (SWC) มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 1,576 โดยมียอดขาย 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมียอดขาย 100 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44

ขณะที่ บมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) มีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตของ กำไรสุทธิถึงร้อยละ 527 โดยบริษัทมียอดขาย 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดขาย 234 ล้านบาท หรือ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 40

ด้าน บมจ.สตาร์ ซานิทารีแวร์ (STAR) มีกำไรสุทธิ 6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 469 โดยมียอดขาย 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งมียอดขาย 49 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 15

นายชนิตร กล่าวเสริมว่า สำหรับทางด้านบริษัทจดทะเบียนที่ทำกำไรสุทธิประจำไตรมาส 1/2550 สูงสุด 3 อันดับแรกนั้น ได้แก่ บมจ.ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง (UEC) ซึ่งทำกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 55 โดยมียอดขาย 357 ล้านบาท บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) กำไรสุทธิ 58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 84 โดยมียอดขาย 515 ล้านบาท และ บมจ.โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอ เรอส์ (GFM) กำไรสุทธิ 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 56 โดยมียอดขาย 370 ล้านบาท

“ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประจำไตรมาส 1/2550 แสดงให้เห็นว่าบริษัท จดทะเบียนใน mai หลายบริษัทยังคงมีพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถเติบโตท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง และมีหลายบริษัทเริ่มส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีบางบริษัทที่ยังประสบปัญหาภาวะต้นทุนสูง เช่น ตะกั่ว และภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้ผลประกอบการยังไม่สามารถฟื้นตัวได้” นายชนิตรกล่าวในที่สุด

ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 44 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 25,026 ล้านบาท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 210.93 (เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2550) ปรับตัวสูงขึ้นจากสิ้นปี 2549 ที่ปิดที่ระดับ 193.43 กว่าร้อยละ 9 ผู้ลงทุนที่สนใจข้อมูลผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสามารถศึกษาเข้าดูข้อมูลได้ ทาง www.mai.or.thหรือสมัครรับข้อมูลตลาด mai ฟรีทางอีเมล์ที่ e-newsletter@mai.or.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ S-E-T Call Center โทร. 0 2229 -2222