DRT ปลื้มผลงานปี 52 โกยกำไร 376 ล้านบาท

“กระเบื้องหลังคาตราเพชร” เผยปี 52 กำไรกว่า 376 ล้านบาท ผู้บริหารระบุพอใจผลงาน ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโตกว่า 10% เตรียมแผนเปิดศึกชิงตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ หลังเดินเครื่องสายการผลิตที่ 9 เพิ่มความหลากหลายของสินค้า จัดแพคเก็จสินค้ามอบส่วนลดเจาะลูกค้าโครงการ แถมช่วยเสริมศักยภาพในการบริหารขนส่งสินค้า

นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ “DRT” ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์หลังคารุ่นเจียระไน รุ่นอดามัส และ รุ่น CT เพชร ผลิตภัณฑ์ไม้ฝาและไม้สังเคราะห์ ผลิตภัณฑ์แผ่นบอร์ด รวมถึงอุปกรณ์ประกอบหลังคา และบริการหลังการขาย ภายใต้ตราสินค้า “ตราเพชร” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2552 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 284.8 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจมาก แม้ว่าจะมีการประเมินตั้งแต่ช่วงต้นปีว่า จะเป็นปีที่ต้องทำงานลำบากมากขึ้น แต่จะเห็นว่าบริษัทฯ ทำผลงานได้เกินเป้าที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ในด้านของรายได้จากการขายปี 2552 สามารถทำได้ 2,775 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2551 ที่ทำได้ 2,485 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 290 ล้านบาท หรือ 11.67% ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 376 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท

“ในปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากว่าบริษัทฯ รุกและเจาะกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดด้วยการเพิ่มและพัฒนาประสิทธิภาพของตัวแทนขาย และทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายอีกด้วย จึงทำให้บริษัทฯ รักษาการเติบโตได้เป็นไปตามเป้า” นายอัศนี กล่าว

ด้านนายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการ สายการขายและการตลาด DRT กล่าวว่า ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยมีปัจจัยบวกเรื่องของกำลังการผลิตใหม่จากสายการผลิตที่ 9 ซึ่งบริษัทฯ ลงทุนไป 465 ล้านบาท เพื่อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไม้สังเคราะห์ เช่น ไม้เชิงชาย ไม้ฝา ไม้ระแนง ไม้มอบ ไม้บัว และบอร์ด เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายงานโครงการอาคารสูง คอนโดมิเนียม ซึ่งขณะนี้ ได้เริ่มเดินสายการผลิตสินค้าแล้ว ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสแรก

“จากเดิมที่ บริษัทฯ ไม่ได้เข้าไปทำตลาดในคอนโดมิเนียมมากนัก เพราะสินค้ายังไม่ครอบคลุมถึงลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้เสียโอกาสในการขายไป แต่เมื่อสายการผลิตที่ 9 สามารถเดินเครื่องได้ ด้วยกำลังการผลิตกว่า 50,000 ตันต่อปี ที่เพียงพอต่อการขยายตลาดในกลุ่มนี้ จะทำให้เราสามารถแข่งขันกับคู่แข่ง โดยสามารถนำเสนอขายสินค้าและราคาเป็นแพคเกจ ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันของเราดีขึ้น” นายสาธิตกล่าว

นอกจากนี้ สายการผลิตที่ 9 ยังทำให้บริษัทฯ มีโอกาสนำเสนอสินค้าไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ดีขึ้น เพื่อรองรับกับการเปิดเสรีทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะกลุ่มวัสดุไม้สังเคราะห์ ที่ถือเป็นเทรนด์ใหม่ ที่ได้รับความนิยมในท้องตลาด ซึ่งบริษัทฯ สามารถปรับการผลิตความหนาของไม้สังเคราะห์ได้ตามความต้องการนำไปใช้ จึงเชื่อมั่นว่า สายการผลิตที่ 9 จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพการทำตลาดของ DRT ในปีนี้ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น