ตลาดรถยนต์ปี 2551 ต้องโฟกัสถึงเทรนด์ E 20 เพราะนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางการตลาดอีกครั้งหนึ่งของตลาดรถยนต์เมืองไทย ในยุคกระแสเทรนด์รถยนต์ประหยัดน้ำมันมาแรง เพราะผลจากการนำ E 20 ทำให้รถราคาถูกลง ใช้แล้วประหยัดน้ำมันมากขึ้น ได้ถูกประเมินว่า จะกลายอุปสงค์ลูกใหญ่ที่ทำให้ตลาดรถยนต์เมืองไทยกลับมามีชีวิตชวาอีกครั้งในปีหน้า
E 20 คือ น้ำมันแก๊สโซฮอล์สูตรใหม่ที่ส่วนผสมของเบนซิน 80% เอทานอล 20 % ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของตลาดรถยนต์เมืองไทยในปีหน้า เนื่องจากรัฐบาลได้ส่งเสริมการใช้ E 20 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยประกาศลดภาษีสรรพาสามิต 5% สำหรับรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่จูนเครื่องใหม่สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E 20 ได้ ส่งผลให้ราคารถยนต์ที่ใช้ระบบดังกล่าวจะถูกลง 5% จากราคาขายเดิม
วัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวกับนิตยสาร POSITIONING ว่า ตลาดยอดขายรถภายในประเทศในปี 2550 ที่ผ่านมา มียอดขายประมาณ 550,000 คัน ลดต่ำลงกว่าในปี 2550 ที่มียอดตัวเลข 680,000 กว่าคัน เนื่องจากผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ต่อกำลังซื้อ ซึ่งลดลงอย่างมาก
ในปี 2551 เชื่อว่า E 20 จะเป็นตัวกระตุ้นตลาดสำคัญ ซึ่งจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากค่ายรถต่างๆ ประกาศชัดเจนว่า รถรุ่นต่างที่จะขายในปี 2551 จะปรับเครื่องยนต์ใช้ E 20 ได้ทำให้ราคาขายจะถูกลง กระตุ้นอุปสงค์ผู้บริโภคได้มากขึ้น เห็นได้จัดจากงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2007 ที่ผ่านมา มีลูกค้าสนใจจองรถยนต์ที่ใช้ระบบ E 20 หลายพันคัน
ทั้งนี้มีคาดการณ์กันว่า ตลาดรถยนต์จะมียอดการผลิตรถยนต์ที่ใช้ E 20 ประมาณ 5 หมื่นคัน ออกมาสู่ตลาด เนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์มองว่า เทรนด์ E 20 จะเป็นส่วนสำคัญทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถได้เร็วขึ้น อีกทั้งซื้อแล้วยังประยัดน้ำมันได้ มากถึงลิตรละ ไม่ต่ำกว่า 4 บาทเมื่อเปรียบเทียบกับการเติมน้ำมันเบนซินปกติ
ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานได้ประกาศมาตรฐานคุณสมบัติและโครงสร้างราคาของ E 20 แล้วเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยราคาขายปลีกจะต่ำกว่าแก๊สโซฮอล์ ในปัจจุบัน หรือ E 20 ลิตรละ 1 บาท ซึ่งทางบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จะเริ่มจำหน่าย E 20 ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไป
ดังนั้น E 20 จึงถือเป็นตัวจุดประกายทางการตลาดครั้งสำคัญในตลาดเมืองไทย อิงกับกระแสโลก ในยุครถยนต์พลังงานมาแรงมาก
ความเคลื่อนไหวของ บรรดาค่ายรถยนต์ นับว่าคึกคักอย่างมาก ค่ายฮอนด้า ถือเป็นค่ายแรกๆ ที่ประกาศว่ารถยนต์ฮอนด้าตั้งแต่ปี 2008 สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E 20 ได้ทุกรุ่น ซึ่งทำให้ราคารถปรับลดลงตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยฮอนด้า ซิตี้ ลดลงประมาณ 3-4 หมื่นบาท รุ่นซีวิคลดลง 4-6 หมื่นบาท รุ่นซีอาร์-วีลดลง 6-9 หมื่นบาท และแอคคอร์ดลดลงประมาณ 8 หมื่นบาท- 1.1 แสนบาท
ค่ายฟอร์ด เป็นอีกค่าย ที่เปิดตัว ฟอร์ด โฟกัส E 20 ขณะที่มาสด้า มิตซูบิชิ และนิสสัน ก็ประกาศแผนการตลาดว่า รถที่ผลิตที่ผลิตในปีหน้าจะใช้ระบบ E 20 กันทุกรุ่น ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ อย่างโตโยต้า เตรียมพร้อมรับนโยบาย E 20 เช่นกัน โดยจะมีการเปิดตัวในต้นปี 2551
ดังนั้น ต้องจับตาในยุคกระแสรถยนต์ประหยัดพลังงาน ว่า เทรนด์ E 20 จะเข้ามาสร้างสีสันปลุกตลาดรถให้กลับมาคึกคักได้มากน้อยแค่ไหน
ข้อสรุป ผลทางการตลาด E 20
1. กระตุ้นอุปสงค์การซื้อรถยนต์ของผู้บริโภค เพราะรถยนต์ที่ใช้ E 20 ได้ลดภาษีสรรพสามิต 5% ทำให้รถยนต์จะมีราคาถูกลงตั้งแต่ 30,000 -100,000 บาท
2. กลยุทธ์ราคาของบรรดาค่ายรถ ในปี 2551 จะถูกนำมาใช้เป็นแผนทางการตลาดมากขึ้น
3. กระตุ้นอุปทานของผู้ประกอบการรถยนต์ หันมาผลิตรถรุ่นประหยัดพลังงานมากขึ้น
4. ตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะขยายตัวมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่า จะมีการใช้มากขึ้นเฉลี่ย สูงสุดจะอยู่ที่ 4 ล้านลิตร/วัน
Tokyo Motor Show 2007 สุดยอดไฮเทค ประหยัดพลังงาน
ที่สุดของงาน Motor Show ระดับโลกที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ต้องยกให้งาน Tokyo Motor Show ครั้งนี้ใช้ชื่อคอนเซ็ปต์งานว่า “Catch the News, Touch the Future” เป็นงานล่าสุดที่จัดส่งท้ายปี 2007 ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อ 27 ตุลาคมถึง 11 พฤศจิกายนรวม 16 วัน พร้อมกับการฉลองครบครั้งที่ 40 โดยมีผู้เข้าชมกว่า 1,425,000 คน งานมีขึ้นที่ Makuhari Messe International Convention Complex ในจังหวัด Chiba ซึ่งห่างจากมหานครโตเกียวไปทางทิศตะวันออกราวสิบกว่ากิโลเมตร
ไฮไลต์ของงานนี้ ซึ่งเป็นที่สนอกสนใจและถือเป็นเทรนด์ใหม่ของ Concept Car ในยุคน้ำมันแพง คือ รถยนต์ประหยัดพลังงานเพื่อรับกับภาวะโลกร้อนและปัญหาน้ำมันแพง Tokyo Motor Show ครั้งที่ 40 ได้ให้ความสำคัญกับการจัดแสดงนวัตกรรมรถยนต์ที่มุ่งเน้นรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการใช้น้ำมันลง โดยหันมาใช้พลังงานอื่นทดแทน ภายใต้คีย์เวิร์ด “Sustainabililty” สำหรับการขับขี่แห่งอนาคต