เปิดผลประกอบการ “เฟซบุ๊ก” Q1 ทะลุ 5.38 พันล้านเหรียญ รายได้โฆษณาโต 56.8%

ภาพจากรอยเตอร์

นาทีนี้ใครมีพระคุ้มครอง เลือกซื้อหุ้นได้ถูกบริษัทก็ถือว่ารอดตัวไป เพราะในซิลิคอน วัลเลย์กำลังเกิดกรณียักษ์ใหญ่ล้มดังมาหลายวันติดต่อกันแล้ว ซึ่งโชคดีที่ผู้ถือหุ้นเฟซบุ๊ก (Facebook) โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

โดยหุ้นของเฟซบุ๊กมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 9.5 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปอยู่ที่ 118.39 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับราคา IPO เมื่อ 4 ปีก่อน

ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้งานเฟซบุ๊กล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มีนาคมนั้น อยู่ที่ 1.65 พันล้านคนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากยอดของปีที่ผ่านมาที่ 1.44 พันล้านคนได้อย่างสวยงาม ซึ่ง มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก เผยว่า เวลาที่ผู้ใช้งานอยู่ในแอปพลิเคชันหลักของบริษัทอย่าง เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และแมสเซนเจอร์ รวมกันแล้วมากกว่า 50 นาทีต่อวันเลยทีเดียว

ความใหญ่โตของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มได้ทำให้เฟซบุ๊กกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักการตลาดที่จะโยกงบโฆษณาจากสื่อทีวีมายังสื่อโมบาย ซึ่งนาทีนี้มีการแข่งขันที่ดุเดือดอยู่ด้วยกัน 3 บริษัท ได้แก่ YouTube ของกูเกิล Snapchat และเฟซบุ๊ก เพราะทั้ง 3 รายนี้ต่างก็มียอดผู้ชมคลิปวิดีโอมากกว่าพันล้านครั้งต่อวันทั้งสิ้น

การเปิดตัวบริการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก รวมถึงการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้งานเกิดความสนใจในการสร้างคลิปวิดีโอ และแชร์สู่สาธารณะจึงเป็นความพยายามที่ได้ผลอย่างยิ่งที่จะใช้ดึงดูดนักการตลาด และทำให้เฟซบุ๊กมีกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ (จาก 52 เปอร์เซ็นต์ของปีที่ผ่านมา) เลยทีเดียว

“เฟซบุ๊กถือเป็นบริษัทที่สร้างความประทับใจอย่างมากให้แก่นักลงทุน แม้ว่าพวกเขาจะได้รับคำเตือนเรื่องการใช้จ่ายที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็สามารถสร้างรายได้ที่งดงามจากค่าใช้จ่ายเหล่านั้นได้” Michael Pachter นักวิเคราะห์จาก Webbush Securities กล่าว

อย่างไรก็ดี เฟซบุ๊กไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของยอดขายอุปกรณ์สวมศีรษะ Oculus Rift ออกมาในการแถลงผลประกอบการครั้งนี้ โดยบอกเพียงแต่ว่า อุปกรณ์ดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงอาจไม่ใช่อุปกรณ์ที่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่บริษัทในปี 2016 นี้

การแถลงผลประกอบการครั้งนี้ของเฟซบุ๊กได้รับการยกย่องจากนักวิเคราะห์ว่า ดีที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่นักลงทุนบางส่วนผิดหวังต่อการประกาศผลประกอบการของอินเทล ไอบีเอ็ม ทวิตเตอร์ และแอปเปิล ไปไม่น้อย ยกตัวอย่างผู้ที่ชื่นชมเฟซบุ๊กอย่างชัดเจน ได้แก่ Daniel Morgan ผู้จัดการด้านพอร์ตโฟลิโออาวุโสจาก Synovus Trust ซึ่งถือหุ้นของเฟซบุ๊กมูลค่ากว่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐเอาไว้ในพอร์ต

สำหรับเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับจากเฟซบุ๊กนั้นอยู่ที่ 52 เซ็นต์ต่อหุ้น ส่วนผลประกอบการบริษัทมีกำไรสุทธิ 1.51 พันล้านเหรียญสหรัฐ

รายได้รวมสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ (จาก 3.54 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.26 พันล้านเหรียญสหรัฐ รายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น 56.8 เปอร์เซ็นต์ เป็น 5.20 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นรายได้จากการโฆษณาบนอุปกรณ์สื่อสารถึง 82 เปอร์เซ็นต์จากรายได้ทั้งหมดเลยทีเดียว

นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังมีแผนจะออกหุ้นประเภท Non-voting (ผู้ถือไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมของบริษัท) แยกออกจากผู้ถือหุ้นในปัจจุบันเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่า เฟซบุ๊กจะยังอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของ “มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” ซึ่งก่อนหน้านี้ ประกาศบริจาค (ขาย) หุ้นของตัวเอง 99 เปอร์เซ็นต์เพื่อการกุศลไปแล้วนั่นเอง

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000043025