อากิเอะ อาเบะ ภริยาของนายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะ เปิดตัวสติกเกอร์ LINE ซึ่งออกแบบเอง โดยเป็นตัวการ์ตูนรูปตัวเธอเอง สร้างความสนใจจากชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก
อากิเอะ อะเบะ ภริยาของนายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะ สร้างสรรค์รูปการ์ตูนแทนตัวเธอเองเป็นสติกเกอร์ของโปรแกรมแชทชื่อดัง LINE โดยใช้ชื่อว่า Akie-chan โดยเธออาจเป็นภริยาผู้นำประเทศรายแรกที่มีสติกเกอร์ LINE เป็นของตัวเอง
สติกเกอร์ LINE ของภริยาผู้นำญี่ปุ่นได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ชื่นชอบและวิพากษ์วิจารณ์
อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดให้ดาว์โหลดได้เพียงไม่กี่วัน สติกเกอร์ LINE ของคุณนายอะเบะก็ต้องระงับการจำหน่ายชั่วคราวโดยไม่มีการแจ้งเหตุผล แต่คาดว่าเป็นเพราะต้องตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินของนักการเมืองและครอบครัว เนื่องจากอาจมีผู้ใช้กรณีนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อนายกฯอะเบะได้
อากิเอะ อาเบะ เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ที่แหวกธรรมเนียมของแดนอาทิตย์อุทัย ที่ปกติแล้วภริยาจะเป็นเพียงแม่บ้านแม่เรือนเท่านั้น เธอเป็นคุณหนูจากครอบครัวเจ้าของกิจการผลิตขนมรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และได้รับการศึกษาในโรงเรียนคอนแวนท์ของศาสนาคริสต์คาทอลิก จึงทำให้เธอแตกต่างจากสาวญี่ปุ่นอนุรักษ์นิยมทั่วไป
หลังจบการศึกษา อากิเอะทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังของญี่ปุ่น จากนั้นผันตัวมาเป็นดีเจนักจัดรายการวิทยุโดยใช้ชื่อ “ดีเจ เอกี้” และมีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก
หลังแต่งงานกับนักการเมืองตระกูลดังอย่างนายชินโซ อะเบะ เธอเป็น ”จิ๊กซอว์” สำคัญที่เติมเต็มรัศมีทางการเมืองของนายอะเบะจนได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง
นางอากิเอะได้ใช้วาทะศิลป์ของเธอช่วยสามีหาเสียง และยังเป็น “สาวคอทองแดง” ช่วยดื่มเหล้าแทนสามีด้วย ความชื่นชอบในสุราทำให้เธอเปิดร้านเหล้าแห่งหนึ่งขึ้นใจกลางกรุงโตเกียว เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจนทำให้เธอต้องวางมือจากกิจการ เพราะเกรงจะกระทบกับภาพลักษณ์สุภาพสตรีหมายเลข 1
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า นายชินโซ อะเบะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ประกาศลาออกโดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้ได้ นอกจากตัวนายอะเบะเท่านั้น
ความล้มเหลวในการเป็นผู้นำประเทศทำให้นายอะเบะเจ็บช้ำ แต่ด้วยการสนับสนุนจากภรรยาคู่ใจ ทำให้เขายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง และทวงคืนศักดิ์ศรี ด้วยการนำพรรค LDP ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2012 และก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 คนแรกของญี่ปุ่น
ที่มา: http://manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9590000052615