“ทักษิณ ชินวัตร” Brand Power

แม้จะไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ แม้แต่ตำแหน่งเดียว แถมยังเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีถูกรัฐประหาร จนต้องระเห็จออกนอกประเทศพักใหญ่ และมีคดีความที่ต้องตามแก้อีกมากมาย แต่ใครก็รู้ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” คือ The man behind the science ผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงของรัฐบาลชุดนี้ ยังคงเป็นแบรนด์อันทรงพลัง ที่มีผลต่อจุดเปลี่ยนทางการเมือง ชนิดที่ต้องจับตา

“ทักษิณ สู้ สู้…ทักษิณ สู้ สู้…” ดังกึกก้องบริเวณลานชั้นล่างอาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดี ในงานเปิดร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทีมฟุตบอลสโมสร แมนเชสเตอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นอีเวนต์ที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับต่อสู้ใดๆ จนถึงขั้นต้องตะโกนว่า “สู้ สู้”

เสียงเชียร์ดังขนาดนี้ ย้ำให้ผู้มาร่วมงานต่างสรุปได้อย่างเบ็ดเสร็จว่า ไม่ว่า ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารจนต้องออกจากตำแหน่ง และยังมีคดีความตามหลังมาอีกมากมาย จะทำอะไร ไปไหน กับใคร ล้วนแล้วแต่เรตติ้งยังดี

แบรนด์ที่ยังฮอตของ “ทักษิณ” ไม่ใช่อยู่นิ่งๆ แล้วลูกค้าเดินมาหา แต่คือ “ปฎิบัติการทางการเมือง” ทั้งสิ้น

นับตั้งแต่กลางปี 2551 หลังจาก “ทักษิณ” และครอบครัว ถูกสั่งอายัดทรัพย์มูลค่าประมาณ 52,000 ล้านบาท เพราะต้องสงสัยเกี่ยวกับคดีคอรัปชั่นและร่ำรวยผิดปกติ จากกลยุทธ์ประโยชน์ทับซ้อน ยิ่ง “ทักษิณ” ถูกรุกให้ชดใช้ความผิด “ปฏิบัติการทางการเมือง” เพื่อบรรลุเป้าหมายให้แบรนด์ “ทักษิณ” ยังถูกใจประชาชน เพื่อเป็นฐานกลับคืนสู่อำนาจยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

นี่คือโอกาสที่เหลืออยู่ของ “ทักษิณ” ขณะเดียวกันคอการเมืองก็ได้เห็นเกมมันๆ นอกสภา และนักสร้างแบรนด์ โดยเฉพาะนักการตลาดที่อยากได้ “กรณีศึกษา” ในการสร้างแบรนด์คน (Personal Brand) ในกลุ่มนักการเมือง “ทักษิณ สู้ สู้” จึงยังคงต้องติดตาม

ดูเหมือนว่า “การเมืองกับการตลาด” สำหรับ “ทักษิณ” เป็นศาสตร์ 2 แขนง ที่ “ทักษิณ” นำมาใช้ได้อย่างกลมกลืน นี่คือความเชี่ยวชาญของอดีตเจ้าพ่อธุรกิจโทรคมนาคมคนนี้ นับตั้งแต่เป็นนักธุรกิจ จนมาสร้างพรรคการเมืองของตัวเองในนามพรรคไทยรักไทย ที่ใช้กลยุทธ์การตลาดเข้ามาใช้ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา จนสามารถเสนอโปรดักส์ที่แตกต่างในตลาดจนร็จในทางการเมือง ผนวกกับกลยุทธ์การบริหารด้วยการเทกโอเวอร์พรรคคู่แข่ง ทำให้ “ทักษิณ” ได้ ส.ส. มากที่สุด กลายเป็นพรรคการเมืองเดียวที่คุมเสียงข้างมากในรัฐบาล

ระหว่างเป็นรัฐบาลในช่วงแรก “ทักษิณ” ใช้กระบวนการ IMC (Intergrated Marketing Communications) ชนิดเป็นการตลาดแบบบูรณการอย่างได้ผล ทั้งแบบ Above the line ผ่านสื่อที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด และ Below the line ที่มีอีเวนต์เด่นคือการตรวจเยี่ยมชาวบ้าน “แม้ว ออนทัวร์” ซึ่งไปถึงชาวบ้านแล้ว ใช่ว่าจะไปมือเปล่า แต่มีของแถมติดไม้ติดมือด้วยเสมอ ตามนโยบาย “ประชานิยม”

นี่คือภาพอดีตที่หลายคนยังคงจำได้

19 กันยายน 2549 “ทักษิณ” ถูกนายทหารคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รัฐประหารยึดอำนาจ

กลยุทธ์ของ “ทักษิณ” เปลี่ยนไป เพราะ Promotion แบบประชานิยมนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่มีเงินภาษีชาวบ้านให้ใช้ Emotional Marketing คือกลยุทธ์เด็ด ที่ “ทักษิณ” ใช้มาตลอดนับจากนั้น เพราะจับจุดได้ว่าลูกค้าอย่าง “คนไทย” เป็นคนขี้สงสาร

ใจความสรุปที่ “ทักษิณ” พยายามแสดงให้เห็นถึงความน่าสงสารเสมอ คือการอยู่ไกลบ้าน กลับประเทศพบหน้าลูกเมียไม่ได้ หากคิดถึงเมืองไทย ก็ได้แต่เพียงส่งจดหมายเป็นลายมือ แล้วให้ทนายส่วนตัวมาอ่าน แจกสื่อมวลชน ท่ามกลางการสอบสวนดคีการทุจริตคอรัปชั่น ทำให้หลายคนสงสารอย่างได้ผล

แม้กระทั่งวันเปิดร้าน “แมนฯซิ” ที่เมืองไทย “ทักษิณ” ก็ยังเอ่ยให้แขกที่มาร่วมงานที่เต็มไปด้วยแฟนคลับทักษิณ ว่าตัวเองและลูกสาวถูกห้ามเข้าประเทศ ทำให้ขาดโอกาสในการทำงาน

ขณะเดียวกันหลายคนอาจรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างว่า “ทักษิณ” ใช้จำนวนมากซื้อคฤหาสน์ส่วนตัวที่อังกฤษ ซื้อสโมสรฟุตบอลต่างประเทศ แต่ทั้งหมดคือข่าวที่ตั้งใจให้คนรู้ คือ Tactic ที่ “ทักษิณ” หยิบมาใช้โดยตลอด เพราะแม้จะน่าสงสาร แต่จะทำตัวให้น่าสมเพชไม่ได้ เพราะแบรนด์ “ทักษิณ” คือคนที่มีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ กล้าลงทุน และมีรสนิยม

ฉากเด็ด ที่หลายคนบอกว่า “ทักษิณ” แสดงได้อย่างสมบทบาท คือเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ทันทีที่ “ทักษิณ” ลงจากเครื่องบิน เขาไม่ได้ก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทยทันที แม้ว่าจะจากไปนานเกือบปีครึ่ง แต่ “ทักษิณ” เดินตรงไปยังมุมหน้าห้องวีไอพีสนามบินสุวรรณภูมิที่มีชาวบ้านมาต้อนรับ และทีวีตั้งกล้องถ่ายทอดสดจำนวนมาก เทค 1 ทักษิณ ก้มกราบพื้นโดยทันที

นี่คือการจัดการของทีมงานประชาสัมพันธ์ของ “ทักษิณ” เพราะหลังจากนั้นภาพเด็ดก็ถูกแจกจ่ายภาพนี้ไปยังสื่อต่างๆ และได้ผลในทางข่าวเพราะทีวีเสนอภาพนี้ทุกช่อง และหลายช่วงเวลาข่าว รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงหน้าหนึ่ง พร้อมกับการวิเคราะห์ของเซียนการเมืองว่า “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” กลับมาแล้ว

ทำให้ “สมัคร สุนทรเวช” ที่แม้จะเป็นนอมินี แต่ก็ฉุนขาด ย้ำว่าประเทศไทย “สมัคร” ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ แม้ว่า “สมัคร” จะไม่มีวันลืมว่าเขาคือคนที่ “ทักษิณ” เลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 อย่างที่ไม่เคยฝันมาก่อน

นี่คือหน้าฉาก ที่ “ทักษิณ” ตั้งใจแสดงให้เห็น แบบตอกย้ำแบรนด์ด้วยกระบวนการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ ผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย และหลายสื่อที่ “ทักษิณ” ปูทางก่อนบินกลับประเทศ

“ทักษิณ” เป็นนายกสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย มีโอกาสเชิญสื่อไทย สายกีฬาไปทำข่าวที่ฮ่องกง “ทักษิณ” เป็นประธานมูลนิธิไทยคม ที่จัดอีเวนต์งานสัมมนาเฉลี่ยเดือนละครั้งนับตั้งแต่ “ทักษิณ” กลับถึงไทย แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้กว้างขวาง ด้วยการเชิญเศรษฐีระดับโลกมาบรรยายให้นักธุรกิจไทยฟัง ดูเหมือนจะเป็นความพยายามของทักษิณที่ต้องการสะท้อนภาพมุมมองของเขาที่มีต่อมิติใหม่ในการก้าวไปสู่ระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ

แต่ก็เกือบเพลี่ยงพล้ำเสียศูนย์ เมื่อครั้งนำนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียไปดูแปลงข้าว พร้อมมีไอเดียให้มาปลูกข้าวในไทย จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะทำให้ชาวนาไทยเดือดร้อน

“ทักษิณ” พยายามหลีกเลี่ยงให้สัมภาษณ์กับสื่อไทยโดยตรง หากมีประเด็นการเมืองใด “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” โฆษกส่วนตัวจะมาทำหน้าที่ชี้แจงแทน ซึ่ง “พงษ์เทพ” เองยืนยันว่า “ท่านไม่ได้ตั้งใจเป็นข่าว แต่สื่อให้ความสนใจท่านเอง อย่างเวลาที่ท่านจะไปที่ไหน บินไปต่างประเทศ เมื่อสื่อมาถามผม ผมรู้ผมก็ต้องบอก หรือไปบรรยายต่างประเทศ สถาบันในต่างประเทศก็ติดต่อท่านมาเอง ซึ่งแต่ละวันมีติดต่อมาจำนวนมาก เราก็ต้องคัดเลือกให้ดี”

แต่ถึงกระนั้น “ทักษิณ” ก็มีทีมโฆษก 2 คน คือนอกจาก “พงษ์เทพ” แล้วยัง “ศันสนีย์ นาคพงษ์” อีกคน …นี่ขนาดไม่ต้องการเป็นข่าว?

กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างที่เห็น ยังไม่พอสำหรับ “การเมือง” ต้อง “เงินถึง” ด้วยจึงทำให้การเดินบนเส้นทางการเมืองราบรื่น

ก่อนหน้านี้แม้ “ทักษิณ” จะอยู่ต่างประเทศ บินวนไปมาระหว่างสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง อังกฤษ แต่เขาได้พบนักการเมืองมากหน้าหลายตาบ่อยครั้ง จนหลายคนได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล “สมัคร”

รัฐมนตรีเหล่านี้ ก่อนการเลือกตั้งแค่ลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินไปเท่านั้น เสียเวลาหน่อยกับการกินข้าว กินไวน์กับ “นาย” เมาด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าทุกคนพร้อมเป็น “พวก” อย่างเต็มที่ ขากลับบางทียังได้พ็อกเก็ตมันนี่กลับมาด้วย

ข้อดีของ “ทักษิณ” คือ “บุญคุณต้องทดแทน” ขณะที่สิ่งที่น่ากลัวคือ “แค้นต้องชำระ” ทำให้หลายคนเลือกสวามิภักดิ์กับ “นาย” อย่างเต็มที่

ภาวการณ์สุกงอมทางการเมืองในปลายเดือนพฤษภาคม 2551 ที่รัฐบาล “สมัคร” ผลักดันเต็มที่ในการเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งที่รัฐบาลมีอายุการทำงานแค่ 3 เดือน ขณะที่ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนกับข้าวของแพงอย่างหนัก ทำให้เกิดกระแสความขัดแย้งในบ้านเมืองอีกครั้ง

“สมัคร” ต้องทำหน้าที่ปลดล็อกให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่รวมทั้ง “ทักษิณ” อย่างที่เคยลั่นวาจาไว้ก่อนเลือกตั้ง เพื่อให้คนเหล่านั้นกลับมาบนสนามการเมืองคืนสู่อำนาจอีกครั้ง หลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และตัดสิทธิ์เล่นการเมือง 5 ปี

เจตนาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อพวกพ้อง จนนำมาสู่การตั้งเวทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกรอบบนถนนราชดำเนิน เพื่อคัดค้านขบวนการปูทาง “แม้ว” กลับสู่อำนาจ ตอกย้ำให้เห็นว่า “นายกรัฐมนตรี” ตัวจริงอย่าง “ทักษิณ” ยังคงมีอิทธิพลในการเมืองไทยอย่างชัดเจนในเวลานี้

เพียงแต่ว่ายังมีสิ่งที่ท้าทายว่า ความจงรักภักดีอย่างหลวมๆ จากลูกทีมที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เฉพาะหน้า และการสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้ประชาชนรักในแบรนด์ “ทักษิณ” พร้อมโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมนั้น จะสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์นี้อยู่ในตลาดได้อีกนานแค่ไหน เพราะสุดท้ายหากสินค้ามี “ตำหนิ” ก็ยากที่จะทำให้คนเลือกซื้อซ้ำ

มหกรรมอีเวนต์ “ทักษิณ” กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2551

22 พฤษภาคม
-“ทักษิณ” เชิญนายวาลิด อาเหม็ด จัฟฟาลี รองประธานบริษัท ซาอุดีซีเมนต์ (SCC) บริษัทซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกลุ่มบริษัท EA Juffali & Brothers กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมและพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบียและภูมิภาคตะวันออกกลาง เข้ามาลงทุนทำนาหรือเช่าที่ดินทำนา หรือการส่งข้าวออกขายต่างประเทศ

-มูลนิธิไทยคม จัดให้ สุลต่านอาเหม็ด บิน สุลาเยม ประธานกรรมการของดูไบเวิลด์ มีทรัพย์สินกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ โดยการต้อนรับของ “ทักษิณ” มาบรรยายพิเศษ”Evolutionary Reform The Dubai Experience”

17 พฤษภาคม
“ทักษิณ” ร่วมงานที่สนามราชมังคลากีฬาสถานการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ ระหว่างแมนเชสตอร์ ซิตี้ กับไทยแลนด์ พรีเมียร์ ออล สตาร์

15 พฤษภาคม
-เข้าอวยพรวันเกิดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และขอให้สนันสนุน 3 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 พร้อมกับสัญญากับบิ๊กจิ๋วว่าจะให้เป็นายกรัฐมนตรีคนต่อไป (จากการให้สัมภาษณ์ของ “ไทกร พลสุวรรณ” แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ)

-เป็นประธานเปิดแมนเชสเตอร์ ซิตี สโตร์ แห่งแรกในประเทศไทย บริเวณชั้น 2 ของอาคารชินวัตร 3 โดยมีแฟนคลับคนรักทักษิณ และสมาชิกไทยรักไทยจำนวนมากร่วมงาน

1 พฤษภาคม
งานเปิดตัวมูลนิธิ บ้านเลขที่ 111 แต่ “ทักษิณ” ไม่ได้ไปร่วมงาน ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่เหมาะสมที่ปรากฏธงชาติไทย มีข้อความ Welcome Thaksin บนสนามฟุตบอลประเทศอังกฤษ

21 เมษายน
จบทัวร์ทำบุญภาคอีสาน เตรียมเดินทางไปอังกฤษ

9 เมษายน
-เปิดตัวหนังสือที่มูลนิธิไทยคมจัดทำขึ้นชื่อ “ปั้นเด็กไทยให้เรียน และ รู้โลก คิดเป็น ทำเป็น” ที่รวบรวมคำกล่าว และการแสดงวิสัยทัศน์ของ “ทักษิณ”

-ทักษิณ เชิญนาย ลักษมี มิตตาล วัย 57 ปี ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ArcelorMittal เจ้าพ่อแห่งวงการเหล็กและเหล็กกล้าของโลก วงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในยุโรป, อเมริกา, แอฟริกาใต้ และรัสเซีย มาแสดงวิสัยทัศน์ต่อสภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาค ในฐานะนักธุรกิจระดับโลกชาวเอเชีย เรื่อง “สร้างแรงบันดาลใจ ให้ธุรกิจไทยเข้าถึงธุรกิจโลก”

12 มีนาคม
“ทักษิณ” ต้องยกเลิกการสักการะอนุสาวรีย์พระนางเจ้าจามเทวี ในตัวเมืองลำพูนกะทันหัน หลังตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นกระเป๋าวางอยู่บริเวณตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย ที่อยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์

11 มีนาคม
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอนุญาตให้ “ทักษิณ” เดินทางออกนอกประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม – 10 เมษายน ตามที่ร้องขอ เพื่อบริหารงานสโมสรฟุตบอลแมนฯ ซิตี้

3 มีนาคม
“ทักษิณ” หลบเงียบหลังกลับจากต่างประเทศ และมีข่าวว่าจะไปตีกอล์ฟกับนักร้องสาว”ลิเดีย”

28 กุมภาพันธ์
“ทักษิณ” เดินทางถึงไทย เวลา 9.40 น. เที่ยวบินทีจี 603 ก้มกราบแผ่นดินหน้าห้องวีไอพี สนามบินสุวรรณภูมิ ท่ามกลางการถ่ายทอดสดของทีวีช่องต่างๆ และผู้สื่อข่าวตามรายงานต่อ หลังจากที่ “ทักษิณ” ไปมอบตัวกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีทุจริตที่ดินย่านรัชดาฯ และสำนักงานอัยการสูงสุดต่อเพื่อมอบตัวในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเอสซี แอสเสท

Porfile :

Name : พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
Born : 26 กรกฎาคม 2492
Education :
-มัธยมศึกษา โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
-พ.ศ. 2512 โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10
-พ.ศ. 2516 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26
-ได้รับทุนรัฐบาล (ทุน ก.พ.) ศึกษาระดับปริญญาโทที่ Eastern Kentucky University สหรัฐอเมริกา สาขา Criminal Justice
-ศึกษาระดับปริญญาเอก ที่ Sam Houston State University สหรัฐอเมริกา สาขา Criminal Justice
Career Highlights :
พ.ศ. 2516-2530 รองผู้กำกับการนโยบายและแผนงาน/ กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
พ.ศ. 2530-2537 ลาออกจากราชการเพื่อประกอบธุรกิจส่วนตัว ประธานกรรมการ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด
พ.ศ. 2537-2538 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. 2538-2539 รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบงานด้านจราจร สมัยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคพลังธรรม
พ.ศ. 2539-2540 รองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
พ.ศ. 2541-2543 ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
9 กุมภาพันธ์ 2544- 9 มีนาคม 2548 นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศ สมัยที่ 1 (อยู่จนครบวาระ 4 ปี)
9 มีนาคม 2548- 24 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 (หมดวาระเพราะประกาศยุบสภา)
24 กุมภาพันธ์ 2549- 19 กันยายน 2549 รัฐบาลรักษาการ (ถูกรัฐประหาร)
เมษายน 2550- ปัจจุบัน นายกสมาคมกอล์ฟอาชีพ แห่งประเทศไทย
ปลายปี 2550 –ปัจจุบัน ประธานสโมสารฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ต้นปี 2551- ปัจจุบัน ประธานมูลนิธิไทยคม
Status : ภรรยา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร บุตรชายคนโต “พานทองแท้” (โอ๊ค) บุตรสาวคนที่สองพิณทองทา (เอม) บุตรสาวคนที่สาม แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง)