ลือกูเกิลเตรียมผลิตสมาร์ทโฟนขายเอง อาจเปิดตัวปลายปีนี้

Nexus 6

การเปิดแผนกฮาร์ดแวร์ของกูเกิล (Google) เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมมอบหมายให้อดีตประธานโมโตโรลาอย่าง Rick Osterloh เข้ากุมบังเหียนนั้นอาจเป็นการสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ โดยการเปิดเผยจากเดอะ เทเลกราฟโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า กูเกิลกำลังออกแบบและพัฒนาสมาร์ทโฟนของตนเอง !!!

จากเดิมที่เคยร่วมมือกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่เช่น แอลจี หัวเว่ย และ HTC ในการพัฒนาสมาร์ทโฟนเน็กซัส (Nexus) เพื่อโชว์ประสิทธิภาพการทำงานของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นต่าง ๆ แต่เป็นไปได้ว่าในช่วงปลายปีนี้ กูเกิลจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ผลิตและออกแบบเองแล้วอย่างเป็นทางการ

โดยจุดที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่ข่าวลือดังกล่าวประกอบด้วยข้อมูลจากปากซีอีโอ ซันดาร์ พิชัย ว่า บริษัทมีการลงทุนเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับ “Phones” เพียงแต่เขาไม่ได้ลงรายละเอียดว่าเป็นการพัฒนาสมาร์ทโฟนขึ้นใช้เองเท่านั้น

อย่างไรก็ดี การหันมาผลิตสมาร์ทโฟนขายเองในตลาดโลกนั้นอาจสืบเนืองมาจากกรณีของตัวเลขการอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน โดยมีการพบว่า ระบบปฏิบัติการตัวใหม่ล่าสุดของกูเกิลอย่าง “มาร์ชเมลโล” หรือแอนดรอยด์ M นั้น มีผู้ใช้งานเพียง 7.5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ทั้งหมด

ขณะที่มีถึง 35 เปอร์เซ็นต์ที่ยังใช้ Lollipop และอีก 32.5 เปอร์เซ็นต์ยังใช้งาน KitKat ระบบปฏิบัติการที่เปิดตัวไปเมื่อสามปีที่แล้ว ซึ่งถ้าเทียบกับ iOS ปัจจุบัน ตัวเลขอุปกรณ์ iOS ที่รันระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดนั้นสูงถึง 84 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว (ตัวเลขเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2559 อ้างอิงจากนิตยสารฟอร์จูน)

ผลจากสถิติดังกล่าว ทำให้กูเกิลออกมาขู่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนว่าจะเปิดเผยรายชื่อของบริษัทที่ไม่ยอมอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ผู้บริโภคเสียทีด้วย

แม้การเดินเกมในลักษณะนี้ได้ถูกนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า เป็นทางเลือกที่ผิด แต่ในมุมของผู้บริโภค หลายคนอาจกำลังดีใจก็เป็นได้ เพราะหลาย ๆ ฟีเจอร์ของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ตัวใหม่ก็น่าใช้ไม่แพ้ iOS เพียงแต่ที่ผ่านมา ผู้บริโภคน้อยรายจึงจะได้มีโอกาสใช้งาน และหากสมาร์ทโฟนของกูเกิลมีประสิทธิภาพสูงด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสเติบโตสูง เพราะเชื่อแน่ว่าผู้ใช้งานแอนดรอยด์หลายคนก็ไม่อยากรอลุ้นให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเป็นผู้อัปเดตให้อีกต่อไปแล้ว เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้อัปเดต OS เสียทีนั่นเอง

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000064292