เมื่อ “Windows 10” อาจพลาดเป้าหมาย 1 พันล้านเครื่องในปี 2018

สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์ (ภาพจาก AP)

อาจกล่าวได้ว่า นาทีนี้อาจเป็นนาทีที่ค่ายไมโครซอฟท์ (Microsoft) ต้องออกมายอมรับความพ่ายแพ้ต่อเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ว่า ภายในปี 2018 จะต้องมีคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รันระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 (Windows 10) มากกว่า 1 พันล้านเครื่องว่าอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงแล้วก็เป็นได้

โดยทางบริษัทระบุว่าเหตุที่ทำให้พลาดเป้านั้นเป็นปัญหาจากธุรกิจสมาร์ทโฟนของบริษัทที่ไม่สามารถทำยอดขายได้ตามคาดนั่นเอง ซึ่งข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับวินโดวส์โฟนนั้นพบว่า มีส่วนแบ่งในตลาดโลกไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์แล้วในปัจจุบัน ขณะที่ข้อมูลยอดขายวินโดวส์โฟนจากบริษัท Kantar Worldpanel ระบุว่า ส่วนแบ่งตลาดของวินโดวส์โฟนในตลาดขนาดใหญ่เช่นอเมริกาเหนือและจีนแผ่นดินใหญ่นั้น ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.6 เปอร์เซ็นต์ และ 0.4 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ซึ่งถือว่าน้อยมาก และทำให้บทบาทของวินโดวส์โฟนในสายตาของภาคธุรกิจ และนักการตลาดกลายเป็นศูนย์ไปโดยปริยาย

ผลจากการพลาดหวังจากวินโดวส์โฟนทำให้ไมโครซอฟท์ยากที่จะเพิ่มตัวเลขการใช้งานให้กับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ยิ่งเมื่อต้องแข่งกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และ iOS ที่มีฐานผู้ใช้งานเดิมเหนียวแน่นแล้ว ความสำเร็จก็ดูจะยิ่งห่างไกล

โดยตัวเลขอุปกรณ์ที่รันระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ในปัจจุบันพบว่า มีราว 350 ล้านเครื่องเท่านั้น

ส่วนในยุคแรกเริ่มที่ไมโครซอฟท์มีการเจรจาซื้อธุรกิจสมาร์ทโฟนจากโนเกีย (Nokia) ด้วยมูลค่า 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2014 นั้น ทางบริษัทเคยตั้งเป้าไว้ว่า เมื่อผนวกกับการมาถึงของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายวินโดวส์โฟนถึง 50 ล้านเครื่องต่อปีเลยทีเดียว

ปีเตอร์ ไบรท์ (Peter Bright) จาก Ars Technica ได้ชี้ด้วยว่า ความต้องการใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ในอนาคตมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุเพราะไมโครซอฟท์กำหนดเส้นตายเอาไว้ว่าสามารถอัปเกรดฟรีได้ถึงวันที่ 29 กรกฎาคมนี้เท่านั้น ซึ่งหลังจากวันที่ 29 กรกฎาคมก็อาจเป็นไปได้ว่าตัวเลขของผู้ใช้งานวินโดวส์ 10 อาจเพิ่มขึ้นช้าลง (เนื่องจากยอดขายคอมพิวเตอร์ที่ไม่กระเตื้องในไตรมาสนี้) อีกทั้งที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ยังเลือกใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมกับผู้บริโภคในการกระตุ้นให้เกิดการอัปเกรดจากระบบปฏิบัติการตัวเดิมอีกด้วย

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000071572