ธาดา วาริช ช่างภาพที่เนื้อหอมที่สุดของยุคนี้

ธาดา วาริช หรือ “จอร์จ” เป็นช่างภาพแฟชั่นแนวเซ็กซี่ที่เนื้อหอมที่สุดแห่งยุคนี้ เขาทรงอิทธิพลแค่ไหน ดูได้จากช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีดารานางแบบกว่า 60 คนถูกถ่ายทอดความสวยแบบ “ดิบและธรรมชาติ” ในตัวตน ผ่านคมเลนส์ของธาดาลงในหน้านิตยสารชื่อดังของเมืองไทยหลายสิบฉบับ แทบทุกชิ้นดูเหมือนไร้การ Make up และ Set up หันไปเน้นความดิบที่สื่ออารมณ์ธรรมชาติจากทั้งนางแบบเองและฉากรอบข้างอย่างที่มันเป็น

ล่าสุดต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านไปก็มีดารานางแบบชื่อดังมากมายที่ไปให้กำลังใจในงานเปิดตัว “Photobook TADA VARICH” ที่ตึกแกรมมี่อย่างคับคั่ง และหลังจากนั้นก็ขายดีจนขาดตลาด เพราะเป็นเสมือนอีกหนึ่งคัมภีร์ภาพถ่ายอีกเล่มที่เหล่าช่างภาพไม่ยอมพลาดต้องมีไว้ศึกษา และแน่นอนว่าบรรดาหนุ่มๆ ที่ติดใจงานของธาดามานานหลายปีก็ต้องมีไว้เชยชม

แต่อิทธิพลที่แท้จริงของธาดา คือการเป็นผู้มาปลดพันธนาการในรูปแบบของภาพถ่ายแฟชั่นตามนิตยสาร ให้พ้นจากการเน้น Set up และ Make up แบบเดิมๆ ไปสู่ความเป็นธรรมชาติ หันไปดึงตัวตนของนางแบบ และหันไปดึงเสน่ห์ของสถานที่นั้นทุกรายละเอียดองค์ประกอบ ไม่ว่าจะทรายทุกเม็ด ฟองของน้ำทะเลบนผิวตัวนางแบบที่ไร้เมคอัพใดๆ ไปจนถึงแสงแดดทุกมุม ให้สะท้อนความสวยของตัวเองออกมาเต็มที่ จนภาพถ่ายแฟชั่นแนวนี้มาเป็นที่นิยมไม่แพ้แนวเดิมๆ

ย้อนอดีตไปในช่วงเลือกสายอาชีพ ธาดาชี้ชัดตัวเองในขั้นแรกว่าต้องเป็นงานด้านศิลปะ และเล่าย้อนไว้ในนิตยสาร DDT ฉบับที่ 15 ว่า “ตอนนั้นผมวาดรูปอยู่ด้วย แล้วผมก็มีรายรับเดือนละ 700 บาทจากการวาดรูป อยู่ไม่รอด ก็เลยต้องหาทาง แต่ก็อยากเอาอาชีพที่เราชอบด้วย คือยังไงก็ขอให้เกี่ยวกับศิลปะ” แต่ในที่สุดก็มาสรุปที่งานช่างภาพ เพราะ “งานถ่ายภาพเป็นงานอาร์ตที่ใช้เวลาได้มักง่ายที่สุดแล้ว คุณยิงชิกๆ คุณก็ได้รูปแล้ว คุณใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีเองนะ เทียบกับงานอื่นๆ เนี่ยจะใช้เวลามากกว่ามาก … เราไม่ได้มีเจตนาจะมักง่ายหรืออะไร แต่มันคือวิธีการทำงานที่…คือมันปึ๊บๆ แค่นั่นแหล่ะ มันพอแล้ว มันเสร็จแล้ว”

13 ปีก่อน ธาดาเริ่มค้นหาตัวเองบนเส้นทางช่างภาพอาชีพจากงานถ่ายภาพทั่วไปที่ทำ Portfolio ไปเสนอตัวรับงานเอเยนซี่ต่างๆ และตัดสินใจเปิดหูเปิดตาเรียนต่อด้านการถ่ายภาพที่สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาเป็นช่างภาพนิตยสาร IN และนิตยสาร IMAGE ในเครือแกรมมี่ดังที่เขาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ “งาน การศึกษาและอาชีพ” ฉบับวันที่ 13 ก.พ. 2551 ไว้ว่า

“คนอาจจะรู้จักผมจากการถ่ายภาพแฟชั่น ถ่ายผู้หญิงสวย ๆ เป็นช่างภาพที่ถ่ายเซ็กซี่ ซึ่งมันถูกมองเห็นและถูกจดจำมากกว่า แต่จริง ๆในตำแหน่งช่างภาพประจำแมกาซีนอย่างที่ IMAGE หรือ IN Magazine ผมก็เริ่มต้นถ่ายทุกอย่าง อาหาร ภาพงานข่าว สัมภาษณ์ ผมว่างานถ่ายภาพคนมันค่อนข้างท้าทาย แต่ถ่ายรูปสัตว์ก็ท้าทายเพราะเราสั่งมันไม่ได้”

แล้วธาดาก็ค้นพบตัวเองว่าเขารักจะสื่อสารกับ “แบบ” ที่เขาถ่าย และจะทำได้ดีเป็นพิเศษถ้าเป็นภาพนองแบบแนวเซ็กซี่ และแม้จะทำงานเร็ว แต่ธาดาก็ย้ำว่าไม่ใช่ทำงานมักง่าย เพราะทุกอย่างต้อง “อยู่ในหัว” แล้วก่อนลั่นชัตเตอร์ แต่ธาดาก็เผยอีกเคล็ดลับแบบถ่อมตัวว่า “เวลาผมมีนางแบบ ผมนั่นแหละขี้โกงให้นางแบบช่วยทำให้ภาพผมสวย”

นอกจากวิธีคิดแล้ว ธาดาบอกเล่าวิธีทำงานไว้ใน DDT ถึงการสื่อสารกับนางแบบไว้ว่า “พูดกับเขาตรงๆ เอาภาพให้ดูว่างานจะออกมาแบบไหน … ขอเขาว่าแบบนี้เราคิดว่ามันดีกว่า แต่ถ้ายังไม่แน่ใจเดี๋ยวจะเทสต์ให้ดูว่าภาพมันจะออกมาอย่างไร คือถ้าคนที่เป็นแบบเขาสบายใจปุ๊บ การทำงานมันก็จะง่ายเท่านั้นเอง”

“บางงานไม่เตรียมก่อนก็มี หลายงานที่ผมไม่เตรียมนี่ งานกลับออกมาดีกว่าอีก คืออะไรที่มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น แก้ปัญหาเดี๋ยวนั้นมันคือสิ่งใหม่ๆ และมันคือองค์ประกอบจริงๆ คือบางทีเราเตรียมงานไว้ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นหลายครั้งที่ผมจะบอกกับตัวเองว่า ผมไม่เตรียม แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ตั้งใจ แต่ผมจะเอาไอเดียจากตรงนั้น มันจะ Fresh กว่า”

ธาดาเคยเล่า “เบื้องหลังการถ่ายทำ” ที่จริงจังแต่ไม่เครียดไว้อย่างออกรสในหนังสือพิมพ์ฉบับเดิม ว่า ทำงานเหมือนไปพักผ่อน และทีมงานก็เหมือนเป็นขบวนปิกนิกนอกสถานที่

“ผมไม่ชอบงานที่ต้องเตรียม การมากมาย ไม่ชอบอุปกรณ์หรือทีมงานเยอะแยะ ไม่ชอบการจัดไฟ งานของผมส่วนมากจะใช้แสงธรรมชาติ ไม่ต้องเซตฉาก

“จะเหมือนชวนกันไปเที่ยว ขับรถไปเรื่อยๆ เจอตรงไหนสวยๆ ก็ลงรถไปถ่ายรูปกัน ความสบายแบบนี้มันก็ทำให้คนที่เป็นแบบเขาผ่อนคลายแล้วก็สนุกสนานไปกับเราด้วย ซึ่งอารมณ์แบบนี้มันสื่อออกมาในภาพอย่างชัดเจนอยู่แล้ว”

ธาดาให้ความสำคัญกับ “อารมณ์” ของเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นนางแบบหรือใครๆ เพราะจากประสบการณ์พบว่าสีหน้าของนางแบบและทีมงานจะแสดงออกมาถ้าไม่เชื่อใจ ไม่ชอบใจ หรือไม่สบายใจ ฉะนั้นถ้าอยากให้งานออกมาดี “ก็ต้องทำให้เขาสบายใจก่อน”

ธาดาจะรู้สึกสนุกกับผลตอบรับของคนดูอยู่เสมอ และฟีดแบ็กครั้งใหญ่สุดเห็นจะเป็นข่าวลือ “บี น้ำทิพย์ มั่วพี้ยา” ที่ออกมาลงในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่และอีกหลายฉบับ ซึ่งล้วนเป็นความเข้าใจผิดที่เป็นผลลัพธ์จากภาพแฟชั่นชุดที่เขาถ่ายในนิตยสาร Mars ปก บี น้ำทิพย์ กับภาพชุดแฟชั่นในบ้านที่ดูดิบและปลดปล่อยอารมณ์ท่าทางคล้ายคนเมายาแต่ก็สวยเซ็กซี่และเย้ายวน

ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ งานชิ้นนี้และข่าวฉาวเข้าใจผิดที่ตามมา ได้สร้างชื่อธาดาให้ดังขึ้นอีกจากเดิมที่ดังอยู่แล้ว และช่วยให้ลายเซ็นดิบธรรมชาติของเขาที่รับรู้กันในวงการเป็นอย่างดี และแพร่หลายออกมาเป็นที่รู้จักในหมู่คนทั่วไป ทั้งนี้อาจจะด้วยความคิดรวบยอดที่เขาเผยไว้กับเว็บ artbangkok.com ว่า

“ผมว่าคนที่สร้างงานควรจะมองขาด หรือควรจะอ่านใจคนดูออกด้วยซ้ำว่า ภาพชนิดนี้สามารถทำให้คนดูงานคิดไปทางด้านนี้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ ด้านนี้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันก็จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย หรือถึงที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคนสร้างงานว่าทำเพื่ออะไร?”

นอกจากบี น้ำทิพย์ แล้ว ดาราสาวสวยชื่อดังแทบทุกคนทั้ง อั้ม พัชราภา, เป้ย ปานวาด, อ้อม พิยดา, แป้ง อรจีรา, พลอย เฌอมาลย์, หยาดทิพย์, ศรีริต้า, กระแต ศุภักษร และอีกมากมาย ต่างได้เคยเผยความ “สวยแบบดิบๆ ” ผ่านมุมมองของธาดา เป็นรูปฮิตที่ผ่านตานักอ่านนิตยสาร และถูกสแกนส่งผ่านกันกันอินเทอร์เน็ตทั่วไป

ในแง่อิทธิพลทางความคิด ธาดายอมรับว่าศึกษางานแนวนี้จากนานาชาติทั่วโลกด้วย แต่ก็เป็นลักษณะ “ดูบ้าง ไม่ดูบ้าง” แต่ก็ไม่ได้ยึดเป็น Reference ถึงขนาดต้องตาม เพราะ “แต่ละช่วงคนมันก็จะชอบอะไรคนละแบบ เหมือนเป็นเทรนด์ … แต่ละคนแต่ละช่วงก็เวลาความชอบก็ไม่จีรังยั่งยืนหรอก”

งานของเขาต่อไปจะมีการคลี่คลายหรือเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ? อย่างไร ? ยังคงเป็นสิ่งที่แฟนๆ ไม่ว่าช่างภาพหรือผู้อ่านผู้ชมทั่วไปติดตามเสมอ