หลังจากโชว์ตัวเลขค่าเฉลี่ยระยะเวลาชมวิดีโอของผู้ใช้สูงลิ่วสวยงามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายสังคมอันดับ 1 ของโลกอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) เริ่มชี้แจงตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กับเหล่าเอเจนซี่โฆษณาแล้วว่า ตัวเลขที่บอกไปนั้นเกิดความผิดพลาด ล่าสุด เหล่าเอเจนซี่เริ่มลงมือสืบสวนเพิ่มเติมจนพบว่า ตัวเลขที่เฟซบุ๊กประกาศไปนั้น สูงกว่าความจริงราว 60-80%
สื่อใหญ่ WSJ (Wall Street Journal) ระบุว่า บริษัทเอเจนซี่อย่างพับลิซิสมีเดีย (Publicis Media) คือ ผู้พบว่า ตัวเลขค่าเฉลี่ยระยะเวลาการชมวิดีโอ (Average Duration of Video Viewed) ที่เฟซบุ๊ก ประกาศไว้ก่อนหน้านี้คิดเป็นสัดส่วนเกินจริงราว 60-80% เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า นักการตลาดไม่ควรตัดสินใจลงโฆษณาตามข้อมูลที่บริษัทนั้น ประกาศเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม Facebook ระบุว่า ตัวเลขค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่วิดีโอถูกรับชมที่ประเมินผิดพลาดนี้ จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อระดับราคาค่าลงโฆษณาบน Facebook โดยตัวเลขการประเมินใหม่จะถูกเผยแพร่เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ค่าเฉลี่ยระยะเวลาชมวิดีโอที่ Facebook คำนวณนั้น เป็นระยะเวลาเฉลี่ยของผู้ใช้ที่ชมวิดีโอนั้นอย่างต่ำ 3 วินาที การคำนวณที่ผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะตัวหารในสูตรคำนวณของ Facebook ต่ำเกินไป จุดนี้ทำให้ Facebook รับผิดชอบด้วยการประกาศแก้ไขสูตรคำนวณใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อตัวเลขนี้เป็น “ระยะเวลาชมวิดีโอเฉลี่ย” หรือ Video Average Watch Time แทนที่ชื่อเดิม Average Duration of Video Viewed
ตัวเลขการชมโฆษณาบน Facebook ที่เกินจริงนั้น ไม่มีใครคลางแคลงใจ เนื่องจากตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา วิดีโอกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตออนไลน์ ทั้งในแง่ผู้ชม และนักการตลาด ทั้งหมดนี้ส่งให้ยอดการชมโฆษณาบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์พีซี รวมถึงบนสื่ออื่น พุ่งกระฉูดจนทำให้ตลาดโฆษณาบนทีวีชะลอตัวในบางประเทศ
ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ให้บริการโฆษณาดิจิตอลทั้ง Facebook ยูทูป (YouTube) และทวิตเตอร์ (Twitter) ต่างต้องแข่งขันกันดึงนักการตลาดให้มาลงโฆษณากับตัวเองให้มากที่สุด ดังนั้น การยอมรับของ Facebook ว่า คำนวณค่าเฉลี่ยระยะเวลาชมวิดีโอไว้เกินจริงนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขสำคัญที่นักการตลาดใช้ประกอบการตัดสินใจ
การยอมรับผิดของ Facebook เกิดขึ้นในวันที่บริษัทเปิดตัวบริการโฆษณาวิดีโอรูปแบบใหม่ที่การันตีความคมชัด และประสิทธิภาพการรับชม ซึ่งเหนือกว่าปกติ จุดนี้หลายฝ่ายยังต้องรอดูว่า ความผิดพลาดของ Facebook จะส่งผลกระทบต่อยอดขายโฆษณาในอนาคตหรือไม่อย่างไร
ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000096192