ศูนย์การค้าเจอวิบาก ลงทุนสูง คืนทุนนาน 10 ปี ผลตอบแทนลด

ถึงแม้ธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทยที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดทั้งปี มีการลงทุนของผู้เล่นรายใหญ่ และรายเล็ก แต่สภาพธุรกิจศูนย์การค้าในปีนี้ดูจะไม่สดใสเอาเลยทีเดียว

เมื่อสมาคมศูนย์การค้าไทยได้คาดการณ์การเติบโตของธุรกิจศูนย์การค้า หรือเป็นรายได้สำหรับศูนย์การค้าในกลุ่มสมาชิกเติบโต 4-5% ในสิ้นปีนี้ตัวเลขจะเติบโตลดลงเล็กน้อยกว่าปีก่อนและบอกถึงสภาวะของศูนย์การค้ายุคนี้

วัลยา จิราธิวัฒน์ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์การค้าอยู่ในภาวะความท้าทายเพิ่มมากขึ้นทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ไม่เติบโตส่งผลมาถึงเศรษฐกิจในประเทศการแข่งขันสูงมากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงจับทางยากขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องมีการลงทุนมากขึ้น มีการเปิดศูนย์การค้าในหลากหลายรูปแบบ

ศูนย์การค้ายุคนี้ อยู่ในภาวะ คืนทุนช้าลงจากเดิมใช้เวลา 6-7 ปี เวลานี้ต้องใช้คืนทุนเฉลี่ย 10 ปี เพราะต้องลงทุนสูงขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทน หรือ IRR ก็ต่ำลงจากเดิมที่ 12-16% ในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว เหลือ 7-12%

ปัจจุบันศูนย์การค้าในประเทศไทยมีพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 18 ล้านตารางเมตร โดยเป็นพื้นที่ของศูนย์การค้าในกลุ่มสมาชิกสมาคมฯ 7.6 ล้านตารางเมตร จากทั้งหมด 91 ศูนย์การค้า คิดเป็น 42% ของพื้นที่ศูนย์การค้าในประเทศไทยทั้งหมด

ภายในปี 2560 จะมีพื้นที่ศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเป็น 18.7 ล้านตารางเมตร โดยเป็นพื้นที่ของสมาชิกสมาคม 8 ล้านตารางเมตร เพิ่มมาอีก 4 แสนตารางเมตร

ถึงแม้ว่าศูนย์การค้ายังคงลงทุนต่อเนื่องรวม 70,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2559-2560 แต่ยังถือว่ามีการลงทุนที่ต่ำกว่าปีก่อนๆ ที่ลงทุนเฉลี่ย 100,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนของกลุ่มสมาคมทั้งหมด 10 ราย ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน), เดอะมอลล์กรุ๊ป, บริษัท สยาม รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท เดอะแพลทินัม กรุ๊ป จำกัด, บริษัท เค.อี.แลนด์ จำกัด, บริษัทซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท รังษิตพลาซ่า และบริษัท สยามพิวรรธน์ กรุ๊ป จำกัด โดยที่ในปีนี้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 รายคือ อินเด็กซ์ลีฟวิ่งมอลล์ และแปซิฟิค พาร์ค ศรีราชา

เสนอภาครัฐลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม

ทางสมาคมต้องการให้ทางภาครัฐบาลช่วยสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจค้าปลีก เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้ง โดยเฉพาะเรื่องการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรี่ให้เหลือ 0-5% จากที่ปัจจุบันอยู่ในอัตรา 30-70% ซึ่งทางสมาคมได้ผลักดันนโยบายนี้มากว่า 3 ปีแล้ว

การลดภาษีสินค้าแบรนด์เนมนั้นจะช่วยกระตุ้นทั้งนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้มาช้อปปิ้งมากขึ้นจากที่ปัจจุบันมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 49,000 บาท/คน/ทริป และใช้จ่ายเฉลี่ย 5,000 บาท/วัน ในจำนวนนั้นเป็นเงินข้อปปิ้ง 1,200 บาท

และกระตุ้นให้คนไทยช้อปปิ้งในประเทศมากขึ้น พบว่าปัจจุบันคนไทยใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวในต่างประเทศรวม 170,000 ล้านบาท เป็นเงินที่ใช้สำหรับช้อปปิ้ง 51,000 ล้านบาท

word_icon

ทางสมาคมต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเดสติเนชั่นด้านการท่องเที่ยว และช้อปปิ้ง แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องราคาสินค้า เพราะภาษีนำเข้าสูง ทำให้สู้ประเทศอื่นไม่ได้ นักท่องเที่ยวจึงไปช้อปปิ้งที่ประเทศอื่น เราต้องใช้กลยุทธ์เหมือนประเทศสิงคโปร์ที่ให้นักท่องเที่ยวรู้จักประเทศจากสินค้าแบรนด์เนม จากนั้นค่อยแนะนำสินค้าแบรนด์ไทย ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักทั่วโลกได้

word_icon2

info_travel

info_department