ทุก ๆ ปี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน จะเป็นวันที่ค่ายอาลีบาบา (Alibaba) ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซจากจีนแผ่นดินใหญ่จะจัดอีเวนท์สำคัญอย่างงาน Single Day ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นการจับจ่ายใช้สอยผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์โมบายล์ แต่ในปีนี้ ทางอาลีบาบาได้นำแนวคิดใหม่ ๆ หลายอย่างเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม หวังสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคแล้ว
หนึ่งในไฮไลท์ของงาน Single Day ในปีนี้ก็คือ “Buy+” หรือการนำเทคโนโลยีเวอร์ชวลเรียลิตี้ (Virtual Reality) มาช่วยในการซื้อขายสินค้า โดยผู้เข้าชมงานสามารถสวมแว่น VR หรือจะซื้อคาร์ดบอร์ดราคาหนึ่งหยวน (คล้าย ๆ คาร์ดบอร์ดของกูเกิล) แล้วใส่สมาร์ทโฟนลงไปเพื่อรับประสบการณ์เวอร์ชวลเรียลิตี้ในการช้อปปิ้งได้แล้ว โดยผู้สวมสามารถเดินชมสินค้าในร้านแบบเวอร์ชวล และจะได้เห็นป้ายป๊อปอัปต่าง ๆ ปรากฏผ่านแว่น หรือถ้าหยิบสินค้าชนิดใดขึ้นมาพิจารณา ก็จะมีข้อมูลของสินค้านั้น ปรากฏขึ้นมา และสามารถดำเนินการซื้อผ่านระบบเวอร์ชวลเรียลิตี้ได้เลย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าอาลีบาบาคือผู้ประกอบการรายแรกของโลกที่นำประสบการณ์เวอร์ชวลเรียลิตี้มาใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ได้ชัดเจนที่สุด
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ ราคาของฮาร์ดแวร์ที่ยังแพงเกินไป น้อยคนที่จะตัดสินใจซื้อแว่น VR มาสวมในตอนนี้ (อาจจะมีบ้างในกลุ่มคนรุ่นใหม่) ซึ่งอาจทำให้การเข้าใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวมีการสะดุดบ้างนั่นเอง
นอกจากเวอร์ชวลเรียลิตี้แล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้ก็คือ Augmented Reality (AR) ด้วยการพัฒนาเกมขึ้นมาคล้ายกับเกมโปเกมอน โก และให้ผู้เล่นตามเก็บ “Red Packet” จากแมวมาสค็อต โดยการแวะไปตามร้านต่าง ๆ ที่ปรากฏในแผนที่ แถมอาลีบาบายังมีการทำไลฟ์สตรีมมิ่งสำหรับผู้ค้าปลีกต่างชาติที่ต้องการเจาะตลาดนักช้อปในจีนด้วย
ทั้งนี้ Jack Chuang นักวิเคราะห์จาก OC&C Strategy Consultants มองว่า แนวทางของอาลีบาบานี้น่าจะทำให้การขยายตลาดของอาลีบาบาในประเทศเอเชียเติบโตรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนักช้อปในประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งมีศักยภาพและต้องการทดลองใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สำหรับกิจกรรมวัน Single Day หรือ Guanggun Jie เป็นกิจกรรมบันเทิงสำหรับกลุ่มคนโสด โดยเลือกจัดในวันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี เนื่องจากเชื่อว่าเลข 1 นั้นแทนความหมายของตัวคนเดียว ซึ่งอาลีบาบาได้ใช้วันดังกล่าวจัดกิจกรรมบนเว็บไซต์ Tmall และ Taobao โดยในวันเดียวสามารถทำยอดขายได้ 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2013 และ 9.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2014 ส่วนในปี 2015 สามารถทำยอดขายได้สูงกว่า 14.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000112691