เปิดโผ 10 ธุรกิจรุ่ง-ร่วงแห่งปี 60 บริการแพทย์-ความงามเข้าวิน!

บริการทางการแพทย์และความงาม ครองแชมป์ต่อเนื่องมา 6 ปีเพราะเทรนด์รักสุขภาพ ตามด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและบำรุงผิว ส่วนธุรกิจขาลงทั้งหมดอยู่ในกลุ่มที่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการวิจัย 10 อันดับธุรกิจเด่นปี 2560 จากปัจจัยด้านยอดขาย ต้นทุน กำไรสุทธิ ความนิยม และความสามารถในการรับปัจจัยเสี่ยง จากคะแนนรวม 100 คะแนน พบว่า ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามได้ถึง 94.1 คะแนน โดยอยู่อันดับ 1 มา 6 ปีติดต่อกัน เนื่องจากกระแสการให้ความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและดูแลความงามยังมีอยู่ต่อเนื่อง ประกอบกับการบริการทางการแพทย์และความงามของไทยมีคุณภาพดีราคาไม่แพงได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

ส่วนธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวได้ 92.2 คะแนน ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 2 จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เนื่องจากพฤติกรรมการดูแลรักษาผิวพรรณของทุกช่วงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จับตาการเงิน-อีคอมเมิร์ซ-โมเดิร์นเทรดมาแรง

ตามด้วย ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้าง, ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์, ธุรกิจบริการทางการเงิน (เคาน์เตอร์เซอร์วิส ฟินเทค และออนไลน์แบงกิ้ง) ธุรกิจห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจออแกไนซ์, ธุรกิจซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจการศึกษา และธุรกิจให้คำปรึกษาทางกฎหมายและบัญชี

ธุรกิจเด่นในปี 2560 เป็นไปตามเมกะเทรนด์ของโลกที่มี 4 ตัวหลัก คือ ดิจิทัลที่ทำให้กลุ่มอี-คอมเมิร์ซ และบริการทางการเงินแบบฟินเทคมาแรง, การเป็นสังคมเมือง ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการซื้อสินค้าในห้างโมเดิร์นเทรดมากขึ้น, การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การออมเงินและการประกันโต และสุดท้าย คือ กระแสกรีน ที่ทำให้การรักษ์สุขภาพจะเด่นชัดขึ้น

นอกจากนี้ ธุรกิจเด่นยังได้รับผลดีจากนโยบายของรัฐ ทั้งนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ไทยแลนด์ 4.0 ที่ช่วยส่งเสริมและเติมเต็มในหลายๆ ธุรกิจ เช่น อี-คอมเมิร์ซ การท่องเที่ยว บริการการเงิน ขณะที่นโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการอัดฉีดงบกลางลงสู่ 18 กลุ่มจังหวัด ก็จะมีผลต่อการลงทุน การค้าชายแดน ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจออแกไนซ์ และธุรกิจให้คำปรึกษาทางกฎหมายและบัญชีในการทำการค้ากับต่างประเทศ

ตลาดนัด-ฟิตเนส-ยาสมุนไพรไม่ติดโผ

อย่างไรก็ตาม การสำรวจในปีนี้ พบว่า ธุรกิจเด่นที่เคยติดอันดับ 1 ใน 10 ของปี 2559 กลับไม่ติด 1 ใน 10 ของธุรกิจเด่นในปี 2560 ได้แก่ ธุรกิจจัดการตลาด ทั้งตลาดนัด ตลาดสด ตลาดนัดกลางคืน, ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ, ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์และสมุนไพรธรรมชาติ, ธุรกิจออกกำลังกาย เช่น ฟิตเนส สนามกีฬา และธุรกิจพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน

ส่วนธุรกิจเด่นในปี 2560 ที่ไม่ติด 1 ใน 10 ธุรกิจเด่นในปี 2559 ได้แก่ ธุรกิจบริการทางการเงิน, ธุรกิจ Modern Trade, ธุรกิจออแกไนซ์, ธุรกิจซ่อมและจำหน่ายอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจให้คำปรึกษาทางกฎหมายและบัญชี

10 ธุรกิจดาวร่วง

สำหรับ 10 อันดับธุรกิจดาวร่วงในปี 2560 ได้แก่ อันดับหนึ่ง ได้แก่ ธุรกิจฟอกย้อม รองลงมา คือ ธุรกิจหัตถกรรม ธุรกิจนิตยสาร ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ ธุรกิจร้านเช่าวิดีโอและซีดี สิ่งทอผ้าผืนที่ไม่เน้นฝีมือ ธุรกิจจัดทำโปสเตอร์ ธุรกิจโรงไม้ ธุรกิจตัดและซ่อมรองเท้า ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องจักรทางการเกษตร

ธุรกิจดาวร่วง ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่มีการพัฒนา โดยเฉพาะกลุ่มฟอกย้อม หัตถกรรม รองเท้าและสิ่งทอที่ตัดเย็บทั่วไป ซึ่งกลุ่มนี้จะถูกสินค้าจากจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าเข้ามาตีตลาด ส่วนธุรกิจนิตยสารและหนังสือ ภายใน 2 ปีนับจากนี้ จะเป็นช่วงที่เหนื่อยมากของธุรกิจกลุ่มนี้ โดยเฉพาะนิตยสารที่มีความเฉพาะอาจต้องปรับตัวหนัก เนื่องจากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่หันไปอ่านผ่านอี-บุ๊ก และอี-แมกกาซีนมากขึ้น ซึ่งต้องเป็นกลุ่มที่เข้าถึงตลาดทั่วไป (แมส) หรือมีฐานใหญ่ในต่างจังหวัดที่ยังเข้าถึงเทคโนโลยีมากนัก จึงจะอยู่ได้

2560 ปีแห่งการปรับตัว

เน้นสร้างความเข้มแข็งในประเทศ

ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในปี 2560 จะเป็นปีแห่งการปรับตัว ซึ่งจะเห็นว่าทุกประเทศหันกลับมาใช้และสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศตัวเองมากขึ้น ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน รวมทั้งไทย การปรับสมดุล เพราะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกซึมตัว ทำให้มีภาวะโอเวอร์ซัพพลายสูง แต่ในปีหน้าโลกจะเริ่มปรับสมดุล ภาวะโอเวอร์ซัพพลายในตลาดก็จะลดลง ปริมาณน้ำมันที่เริ่มปรับลดปริมาณลง ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่ที่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นำไปสู่การปรับสมดุลการบริโภค ส่งผลให้การลงทุนใหม่ในกลุ่มสินค้าที่มีโอเวอร์ซัพพลายจะไม่เกิด ผลักดันให้ราคาสินค้า ทั้งข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมันค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น

และคาดเศรษฐกิจโลกจะเริ่มปรับเปลี่ยนไปในทางบวก ฟื้นตัวดีขึ้น แม้ว่าจะความเสี่ยงในเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบและความวุ่นวายทางการเงินในยุโรปจะยังคงอยู่ จะเห็นว่าโลกเริ่มมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อไปสู่มาตรฐานที่มากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด

คาดเศรษฐกิจขยายตัว 3.5-4%

ทั้งนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะขยายตัวอยู่ในกรอบ 3.5-4% โดยจะค่อยฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส 2 หลังจากที่รัฐบาลอัดฉีดงบกลางลงไปขับเคลื่อน รวมทั้งการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ทั้งรถไฟรางคู่และมอเตอร์เวย์ เป็นต้น

info_10_business