คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีสำหรับบรรดาคอข่าวยามเช้าของเวทีพันธมิตรฯ กับน้ำเสียงสดใส ใบหน้าสวยคมของเธอผู้นี้ หลายคนเรียกเธอว่า “น้องเก๋” หรือ กมลพร วรกุล สาวน้อยจากเมืองลำปาง
หลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยนานาชาติมหิดล สาขาเอกโฆษณา-ประชาสัมพันธ์ เธอก็เข้าไปทำงานที่บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ สายโปรดักส์ชั่น หรือสายผลิต รวมทั้งงานประชาสัมพันธ์ ซึ่งทำให้มีโอกาสติดต่อกับสื่อมวลชน ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ อยากทำงานเป็น “นักสื่อสารมวลชน”
“พอมีเวลาว่างจึงไปเรียนเสริมเพิ่มเติมคอร์สผู้ประกาศข่าว นักพากย์ และดีเจ พอบริษัทไทยเดย์ด็อทคอมเปิดรับสมัครพนักงาน ตอนนั้นตั้งใจมาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวเขียนข่าวทีวี แต่พอผ่านการเทสต์ลองอ่านข่าว ประกอบกับหน้าตาดี เลยทำให้กลายไปอยู่ในกลุ่มผู้ประกาศข่าวรุ่นแรก”
แม้ต้องผันตัวเองมาเป็นผู้ประกาศข่าว ASTV ช่อง News1 แต่เธอก็มีหน้าที่หลัก คือ รายงานข่าวจากรถถ่ายทอดสดจากทำเนียบและรัฐสภา กระทั่งมีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรเมื่อปี 2548 ทำให้มีโอกาสมาทำงานเป็นพิธีกรภาคสนามของการชุมนุมเป็นครั้งแรก โดยเป็นพิธีกรบนเวทีคู่กับสำราญ รอดเพ็ชร หรือบางกรณีเมื่อพิธีกรหลักอย่างแอน-จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และแอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์ ไม่อยู่ เธอคนนี้ก็จะทำหน้าที่แทน
หลังจากมีรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ส่งผลให้เธอต้องกลับไปทำงานหน้าตามเดิมที่สถานี ASTV กระทั่งล่าสุดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ ได้นัดรวมตัว และเคลื่อนไหวใหญ่กันอีกครั้ง เธอถูกเรียกตัวให้มาช่วยงานพิธีกรอีก และความมุ่งมั่น ทุ่มเท อย่างไม่หวั่นเกรง เธอไม่ทำให้คนรอบข้างต้องผิดหวัง
“เนื่องจากความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลหุ่นเชิด ขายชาติ ซึ่งมีทักษิณหนุนหลังอยู่ ผู้ใหญ่จึงเรียกให้มาช่วยทำงาน อาจเห็นว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างเอาตัวรอดได้ บวกกับท่าทางคล่องแคล่ว ว่องไวลุยๆ อีกอย่างเราไม่ค่อยกลัวว่าจะกระทบเรื่องงานหรือไม่ เพราะทำงานขึ้นตรงกับเครือผู้จัดการแห่งเดียว ส่วนรายการอื่นๆ ที่เค้าเคยจ้างและอึดอัดเมื่อเราขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เราก็ยอมถอนตัวให้ และมาทำที่นี่” เธออธิบายให้ฟัง
เธอเล่าต่อไปว่า เริ่มมาทำงานในเวทีพันธมิตรฯ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่มีการถ่ายทอดสด ทำงานร่วมกับเก๋-อุษณีย์ กันสองคน และช่วงที่ขึ้นรถเคลื่อนที่ไปกับพี่ปอง-อัญชลี ไพรีรัก ได้เกิดเหตุการณ์กลุ่มสมุน นปก.ได้ระดมปาก้อนหินขึ้นมาบนรถที่เธอทำงานอยู่
เหตุการณ์วันนั้นกลับเป็นสิ่งปลุกเร้าให้กมลพรตัดสินใจช่วยงานภาคสนามอย่างเต็มตัว อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “หลังจากวันนั้นก็ตัดสินใจว่า เราต้องทำอะไรสักอย่าง เลยโทรไปบอกกับหัวหน้า คือ คุณอัญชลีภรณ์ กุสุมม์ ว่า หนูขอมาทำงานกับเวทีพันธมิตรฯ เต็มตัว เพราะช่วงนั้นที่เวทีพันธมิตรฯ ขาดคนมาก โดยเฉพาะช่วงเช้าและช่วงดึก เลยได้ทำงานรายการข่าวช่วงเช้ากับพี่ปอง-อัญชลี ไพรีรัก และทำงานกับพี่อมร ช่วงหลังเที่ยงคืนกระทั่งถึงตี 4 ได้นอนไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งก็ต้องหลับนอนกันในรถ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน”
“พอทุกอย่างลงตัว สถานการณ์ไว้วางใจได้ ก็เริ่มมีน้องๆ ที่ออฟฟิศออกมาช่วยและเปลี่ยนกัน โดยช่วงเช้าหลังจากจัดรายการข่าวกับพี่ปองเสร็จจนถึง 9โมง จากนั้นก็เป็นพิธีกรเวที เพื่อโยนช่วงต่างๆ ทำงานจนถึงเวลาประมาณเที่ยงๆ บ่ายๆ ก็กลับบ้านไปพักผ่อน จนถึงกลางคืนจึงค่อยกลับมาใหม่”
นอกจากหน้าที่พิธีกรแล้ว เธอยังต้องทำงานทั้งด้านหน้าเวทีและหลังเวที “ไม่ได้ทำแค่ประกาศข่าว หรือพิธีกร แต่จะทำงานตั้งแต่ แม่บ้าน คนทำอาหาร เตรียมอาหารให้กับพี่ๆ หรือแกนนำก่อนจะขึ้นเวที รวมไปถึง เพื่อนทีมงานด้วยกัน งานเดินเอกสาร รับบริจาค จัดคิวรายการบนเวที กระทั่งช่วงบ่ายก็จะมีทีมฯ มารับช่วงไปทำต่อ”
แม้ต้องทำงานหนัก แต่เธอยอมรับอย่างเต็มใจว่า “มันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก เพราะในชีวิตเกิดมาเชื่อว่าคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว และมันก็แตกต่างกันมากับการทำงานที่สถานี ASTV ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารายการ 2-3 ชั่วโมง อาทิ สคริปต์ข่าว แต่งหน้าทำผม เช็กข่าวและต้องทำการบ้านเพิ่มเติมเสริมความรู้บ่อยๆ อีกทั้งที่สถานีนิวส์ 1 สอนให้เราทำงานได้ทุกอย่าง ยกเว้นถ่ายภาพ อย่างงานตัดต่อพวกเราก็ทำได้”
กับการทำงานเวทีมัฆวานรังสรรค์ ทำให้เธอได้เรียนรู้ประสบการณ์หลายๆ ด้าน “ทำให้เราต้องเรียนรู้ที่เผชิญกับแรงกดดัน รับมือกันสถานการณ์ และรวดเร็วกับการเปลี่ยนแปลงกับการย้าย หรือสลายการชุมนุม รวมถึงการรับมือกับผู้คนบรรดาผู้ชุมนุม ต้องรู้สึกว่าเค้าเป็นญาติ เป็นพี่ น้อง ลุง ป้า และพ่อแม่
“สำหรับการทำงานในฐานะพิธีกรคู่กับอัญชลีแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไร?” ทีมงานถาม เธอตอบว่า “แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเอง โดยพี่เค้าจะมีบทบาทหน้าที่หลักในการเล่าข่าว โดยมีแหล่งข่าวมาวิเคราะห์มีประเด็นเบื้องหลังรวมไปถึงการพูดโน้มน้าวชักจูงให้ผู้ชุมนุมต่อสู้ ส่วนเราก็มีหน้าที่เสริมรายละเอียดและเก็บรายละเอียดให้ครบตามหน้าหนังสือพิมพ์”
แม้จะทำงานในฐานะพิธีเสริมข้อมูลให้กับรุ่นพี่ แต่เธอก็ทำด้วยความเต็มใจ และที่สำคัญเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับรุ่นพี่มือโปรของวงการเลยทีเดียว และได้อะไรมากกว่าที่คิด
“เพราะพี่ปองเป็นผู้หญิงเก่งมาก รอบรู้ไปหมด ตั้งแต่ ศิลปะ วัฒนธรรม การเมือง และประวัติศาสตร์ มารวมอยู่ในคนเดียว มันทำให้เราเรียนรู้หลายๆ อย่างและแง่คิด และทำให้คิดว่า ผู้หญิงรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้อะไรบ้างให้แง่คิด หลักคิด” เธอบอก
นอกจากนี้ ยังได้ประสบการณ์ที่ทรงคุณค่ามากที่สุด “สิ่งที่ได้รับจาก 5แกนนำและพี่ๆ ที่ทำงานทุกคน คือ จิตสาธารณะและงานมวลชน เพราะทำงานตรงนี้ มันทำให้เลิกคิดไปเลยว่า จะได้ค่าตอบแทนชั่วโมงละเท่าไหร่ เพราะงานพิธีกร จัดรายการทีวี วิทยุ ค่าตอบแทนคิดเป็นรายชั่วโมง 300 -500 หรือ 1,000 บาท ตามแต่ตกลงกันไป แต่วันนี้รู้สึกเลยว่า เงิน 1 สลึง หรือ 1 บาท หรือแสนบาท ล้านบาท คือน้ำใจอันมหาศาล หล่อเลี้ยงเราอยู่ เพราะเงินเดือนของ ASTV มาจากพวกเขาเหล่านี้ และเขายังมานั่งตากแดด ฝน ร่วมกัน ทำให้คิดว่าต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ เพื่อตอบแทนน้ำใจพี่น้องพันธมิตรฯ”
กับการทำงานที่ ASTV มาร่วม 5 ปี อะไรทำให้เธอยืดหยัดทำงานจนทุกวันนี้ พิธีกรจากเวทีกู้ชาติ บอกว่า “ทำงานผ่านร้อนผ่านหนาวมามากตั้งแต่ปี 48-49 แต่เพราะเราเชื่อมั่นในตัวคุณสนธิ ศรัทธาในข้อมูลและประสบการณ์ คำสอนตั้งแต่วันแรกและจดจำมาทุกวันนี้ ไม่จะเกิดเหตุการณ์อะไร มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เมื่อวันนั้นเสียอะไรเสียไป แต่อย่าใจเสีย ต้องอยู่ให้ได้ ไม่ว่ารู้สึกท้อแท้ เหนื่อยหน่าย พอหายก็กลับมาสู้ใหม่ เพราะเราเชื่อในสิ่งที่ ASTV กำลังทำอยู่”
ความเชื่อ ความศรัทธาทั้งในบุคคล และหลักการ ทำให้กมลพรได้ต่อยอดความรู้ของตัวเอง เวลานี้เธอกลายเป็นนักศึกษาปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ โดยเลือกทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเอเอสทีวี พร้อมกับมุ่งมั่นด้วยว่า ถ้าหากมีโอกาสในอนาคตก็จะเรียนต่อปริญญาเอก ซึ่งหัวข้อที่เธออยากทำมากที่สุด คือ ทฤษฎีสื่อเลือกข้าง
“ตามหลักนิเทศศาสตร์สอนไว้ว่า ให้สื่อ “เป็นกลาง” โดยทั้งสองข้างต้องเท่ากัน ซึ่งต้องม้วนข่าวและสรุปประเด็นให้ได้ โดยเราไม่มีหน้าที่ใส่ความคิดเห็น แต่เมื่อมาทำงานตรงนี้ ไม่รู้สึกอายเลยที่จะเลือกข้าง ไม่ว่าอาจารย์จะบอกว่า เธอเป็นสื่อไม่สามารถเลือกข้าง และต้องเป็นกลาง ซึ่งเราก็บอกกับอาจารย์ว่า วันนี้ความผิด ความชอบ ความชั่ว หรือความดี มันเห็นชัดเจน และหนูไม่เป็นกลาง แต่จะเลือกข้างตามความเชื่อที่เราเห็นว่าถูกต้อง และน้ำหนักวันนี้มันจะสร้างจุดเปลี่ยนของประเทศไทยให้เกิดขึ้น” เธอบอก พร้อมตั้งคำถามต่อไปว่า
“ไม่เข้าใจว่าทำไมสื่อต้องเป็นกลาง ข้อมูลสองด้านเท่ากันเหรอ ได้อย่างไรในเมื่ออีกฝั่งพูดเท็จ ส่วนอีกฝั่งพูดจริง เราก็ต้องกลบข่าวเท็จให้หมด เคยบอกกับอาจารย์ว่า จะพิสูจน์ให้ได้ว่า สื่อเลือกข้างมันมี และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะวันนี้คนประณามเราว่า เป็นขบถสื่อ ไม่เป็นกลาง”
งานนี้ เหล่าบรรดาสาวกพันธมิตรฯ คงต้องเอาแรงเชียร์-เอาใจช่วยเธออีกครั้ง สำหรับการสานไฟแห่งอุดมการณ์ ความเชื่อ และศรัทธาในวิชาชีพที่เธอเลือก เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีสื่อเลือกข้าง ของพิธีกรขวัญใจเวทีพันธมิตรอีกคน !!!



