พลังดนตรี สีสันที่ไม่มีวันจางหายจากเวทีพันธมิตร

ปรากฏการณ์หนึ่งที่ถือเป็นสีสันให้ม็อบพันธมิตรฯ ชนิดที่มองข้ามไม่ได้คือเสียงดนตรี จากเหล่าศิลปิน รุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก น้อยใหญ่ ที่มาร่วมกู้ชาติ โดยใช้บทเพลงมาเป็นแรงใจขับกล่อมกับผู้ชุมนุมคลายความเมื่อยล้า จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศการชุมนุมที่ขาดไม่ได้

แนวรบด้านดนตรี จากขุนพลเพลงเพื่อชีวิตน้อยใหญ่ รุ่นลายครามอย่างคาราวาน ซูซู หรือแฮมเมอร์ ได้มารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย พร้อมด้วยศิลปินเพื่อชีวิตรุ่นใหม่ มากหน้าหลายตา โดยมีวสันต์ สิทธิเขต เป็นหัวหอกด้านบทกวีและบทเพลงอันแสบสั่นสะท้าน ตับ ไต ไส้ พุง สะเทือนเลื่อนลั่น ทำเอานักการเมืองพากันปั่นป่วนไปทั่วกระเพาะอาหาร

การมารวมตัวของเหล่าศิลปินเหล่านี้เริ่มขึ้นตั้งแต่การชุมนุมครั้งที่แรกในปี 2549 และต่อเนื่องจนมาถึงการชุมนุมครั้งล่าสุด ที่กินเวลามาแล้วกว่า 70 วัน

แม้จะเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ศิลปินน้อยใหญ่เหล่านี้กลับไม่ได้ย่อท้อ ตรงกันข้าม ทุกคนยังคงเป็นขาประจำบนเวทีพันธมิตรที่มาขับกล่อม เพื่อมาเป็นกำลังใจ แสดงถึงจุดร่วมในการกู้ชาติครั้งนี้

รักเธอประเทศไทย ของหรั่ง ร็อกเครสตร้า ยังคงกัดกินใจให้ฮึกเหิมทุกครั้งที่ได้ยิน

แฮมเมอร์ วงดนตรีเพื่อชีวิตจากแดนใต้ เสียงเพลงของพวกเขายังคงกัดกินใจทุกครั้งแม้เวลาจะผ่านมาแล้วนับ 20 ปี ขึ้นเวทีทุกครั้งยอดบริจาคของผู้ไม่ประสงค์ออกนาม 1 แสนบาท และเคยพุ่งขึ้นถึง 1 ล้านบาทมาแล้ว

ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ศิลปินมากบทบาทที่กลายเป็นขาประจำม็อบ ด้วยจุดยืนที่ต้องการเห็นเมืองไทยปราศจากคอรัปชั่นโกงกินชาติของผู้นำ ทุกวันนี้เขากลายเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ประจำกับเพลงแปลง ซึ่งสร้างความครื้นเครงให้ผู้ชุมนุมออกมาร้องตาม ขยับแข้งขยับขา

คณาคำ อภิรดี เจ้าของบทเพลง “ถ้าไทยรักไทย” ที่มาสร้างบรรยากาศแนวเพลงบลูส์ผสมป๊อปแจ๊ซแบบเนิบๆ เลือดรักประเทศไทย ทำให้เธอยืนหยัดเป็นกำลังใจให้เหล่าผู้ชุมนุมได้ผ่อนคลาย

ยังมีศิลปินเพื่อชีวิตน้อยใหญ่มากมายที่มาร่วมสร้างร่วมสร้างพลังแห่งดนตรี และเสรีภาพบนเวทีพันธมิตรแห่งนี้