Snapchat เปิดแผน “โฆษณาบนสมาร์ทโฟน” ชิงเม็ดเงินจากทีวี เน้นสนุก เจาะกลุ่มวัยรุ่น

ผู้ร่วมก่อตั้ง Snapchat “บ็อบบี้ เมอร์ฟี่” (ซ้าย) ถ่ายภาพร่วมกับซีอีโอ อีวาน สไปเกล ขณะกำลังลั่นกระดิ่งที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก New York Stock Exchange โดยขวาสุดเป็นโทมัส ฟาร์เลย์ ประธานตลาดหลักทรัพย์ที่กำลังร่วมเฉลิมฉลองการเปิดจำหน่าย IPO ของ Snap เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สแนป” (Snap) บริษัทแม่ของสแนปแชต (Snapchat) ทำสถิติมูลค่าหุ้นพุ่ง 50% นับจากการเปิดจำหน่ายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจใน Snap เช่นนี้ คือ แผนธุรกิจที่ Snap เปิดเผยต่อสาธารณชน นั่นคือ แนวคิดการทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จเหมือนโฆษณาทางทีวี

แม้วันนี้ Snap จะกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐไปเรียบร้อย แต่ความจริง คือ Snap ยังเป็นบริษัทที่ขาดทุนหลายล้านเหรียญสหรัฐ ตัวอย่างเช่น ปี 2016 ที่ขาดทุนมากกว่า 514 ล้านเหรียญสหรัฐ แน่นอนว่า Snap ไม่ได้หวังจะพลิกขึ้นมาทำกำไรจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ให้เทียบเท่ารายใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) ในช่วงข้ามคืน แต่แนวคิดที่หวังสร้างบริการใหม่ขึ้นมานั้น ทำให้ Snap ดูดีมีอนาคต

(ล่าสุด หุ้น Snap Inc. ลดฮวบจนต่ำกว่าราคา IPO ซึ่งเปิดตลาดที่ 24 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นแล้ว สถิติต่ำสุดที่ 21.31 เหรียญ คิดเป็นสัดส่วนลดลงมากกว่า 16% จากราคา IPO)

ดูดีอย่างไร?

ในเอกสารที่ Snap แสดงต่อตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ระบุว่า Snap จะใช้วิธีแย่งตลาดจากโฆษณาทีวีซึ่งมีงบประมาณมหาศาลรออยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าวิธีนี้ คือ วิธีการเดียวกับยักษ์ใหญ่อย่างยูทูป (YouTube) และ Facebook ที่แย่งเงินจากตลาดทีวีมาสู่ตลาดวิดีโอดิจิตอลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Snap มีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองมีจุดยืนที่ดีกว่า ซึ่งหากทำได้ Snap จะสามารถสร้างเงินจำนวนมากต่อผู้ใช้หนึ่งราย

เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากวิถีโฆษณาบน Snapchat ที่แตกต่างจากคู่แข่งในวงการวิดีโอดิจิตอลรายอื่น Snap อธิบายว่า เป้าหมายของบริษัท คือ การสร้างแพลตฟอร์มโฆษณาที่ครบรสทั้งน่าสนใจ สร้างสรรค์ และสนุก ดังนั้น แทนที่จะทำให้โฆษณาบน Snapchat เป็นเหมือนบริการทั่วไปที่เล่นโฆษณาก่อน หรือระหว่างฉายวิดีโอ Snap จึงใช้วิธีแสดงโฆษณาเต็มจอที่ดูสนุกแทน

ผู้บริหาร Snap ใช้ตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นเวทีโชว์แว่นตา Spectacles สินค้าใหม่ของ Snap ซึ่งผู้สวมแว่นนี้สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอได้โดยกดปุ่มที่ขาแว่น

Snap อธิบายเพิ่มเติมว่า โฆษณาที่เล่นก่อนฉายวิดีโอออนไลน์ หรือ Pre-roll advertisement นั้น ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นจากวิดีโอ ทำให้ผู้ชมรู้สึกรำคาญที่จะต้องรอจนโฆษณาเล่นจนจบก่อนจึงจะได้ชมวิดีโอที่ต้องการ ขณะที่โฆษณาแบบ In-feed advertisement หรือโฆษณาที่เล่นระหว่างวิดีโอฉาย ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเต็มจอ ทำให้ผู้ชมมักเลื่อนผ่านไป หรือมองข้ามไป ทำให้โฆษณารูปแบบนี้ไม่ต่างจากป้ายแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์

เมื่อโฆษณาทั้ง 2 รูปแบบไม่ตอบโจทย์ Snap จึงมองว่า โฆษณาทีวี คือ คำตอบ เนื่องจากโฆษณาทีวีสามารถสร้างความสนุกสนานให้ผู้ชมได้มานานหลายสมัย

Snap มองว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโฆษณาทีวีเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชมทีวี ผู้ชมจำนวนมากไม่รู้สึกเบื่อกับการชมโฆษณา เพราะรู้สึกสนุก สร้างสรรค์ และได้รับความบันเทิงจากการชมโฆษณาทีวี อรรถรสเช่นนี้ คือ บริการโฆษณาออนไลน์ที่ Snap ต้องการสร้างสรรค์ขึ้น

ทีวีเพื่อวัยรุ่น

ไอเดียโฆษณาของ Snap ถูกวางไว้ว่า จะต้องไม่ใช่โฆษณาทีวีธรรมดา เพราะสิ่งสำคัญ คือ จุดยืนของ Snap ที่จะเน้นการเป็นทีวีสำหรับวัยรุ่น เรื่องนี้ Snap มองว่า มีความแข็งแกร่งรออยู่แล้ว เนื่องจากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าหลักของ Snapchat นั้น เป็นกลุ่มที่ชมทีวีน้อยนี่เองที่เป็นโอกาสทองที่ทำให้ Snap สามารถสร้างโฆษณาทีวีสำหรับอุปกรณ์พกพาขึ้นใหม่

แนวคิดนี้ได้ใจนักลงทุน แถมที่ผ่านมา Snap ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบโฆษณาไปทางที่โดดเด่น เช่น การเปิดรูปแบบโฆษณาแบบแนวตั้งเต็มจอ แม้จะเริ่มเปิดช่องให้ผู้ใช้สามารถข้ามโฆษณาไปได้เหมือนรายอื่นอย่าง YouTube

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สแนป” (Snap) บริษัทแม่ของสแนปแชต (Snapchat) ทำสถิติมูลค่าหุ้นพุ่ง 50% นับจากการเปิดจำหน่ายหุ้นครั้งแรกหรือ IPO เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม

ในเอกสาร S-1 ดาวรุ่งอย่าง Snap ยังระบุว่า จะทำให้เหนือกว่าโฆษณาทีวี โดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถคลิกซื้อสินค้า หรือบริการหลักชมโฆษณาได้เลย นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มความสามารถให้โฆษณาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าที่โฆษณาทีวีเคยทำได้ ถือเป็น 2 จุดหลักที่ Snap ต้องการเพิ่มประสบการณ์ให้เหนือกว่าโฆษณาทีวี

อีกจุดน่าสนใจในเอกสารของ Snap คือ การเทียบตลาดโฆษณาของตัวเองเองตลาดโฆษณาทีวี โดยบอกว่า งบประมาณโฆษณาทีวีในวันนี้หดตัวลง เพราะความนิยมชมวิดีโอออนไลน์บนสมาร์ทโฟน แต่หากคำนวณตัวเลขตลาดรวมโฆษณาทั่วโลก จะพบว่าเม็ดเงินในตลาดนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 6.52 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 มาเป็น 7.67 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 เรียกว่า เห็นโอกาสทองรออยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน Snap เชื่อว่า ตลาดโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาจะเติบโต 3 เท่าจาก 6.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 มาเป็น 1.96 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 นี่จึงจะเป็นปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มการเติบโตชัดเจนขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมา Snap จะสามารถทำเงินได้เพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นในปีที่ผ่านมา.

ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000023574