“วอยซ์ทีวี” จอดำแล้วตามคำสั่ง กสท. จะกลับมาอีกครั้งหลัง 7 วัน (14 เม.ย.) ระหว่างนี้ดิ้นออกอากาศทางออนไลน์ ด้าน “ซีอีโอ” เหน็บดุลพินิจ กสทช. ไร้เงื่อนไขที่ชัดเจน ชี้ การเมืองมีผลกระทบต่อการทำงานสื่อมากจริง ยืนยันไม่เปลี่ยนจุดยืน เชื่อ สื่อมีวิวัฒนาการของมัน กรอบต่างๆ ไม่แข็งแรงพอที่จะหยุดกลไกของสังคมได้
จากกรณีที่ กรรมการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติในบ่ายวานนี้ (27 มี.ค.) ให้ระงับใบอนุญาตสถานีวอยซ์ทีวีทั้งช่อง เป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่ 00.01 น. ของวันที่ 28 มี.ค. 2560 ถึงเวลา 00.00 น. ของวันที่ 3 เม.ย. 2560 เหตุวิจารณ์เรื่องวัดพระธรรมกาย และโกตี๋อย่างไม่เป็นกลาง
จนเมื่อเวลา 00.01 น. ของคืนวันที่ 28 มี.ค. 2560 ทางช่องวอยซ์ ทีวีได้โดนตัดสัญญาณทั้งบนโครงข่ายภาคพื้นดินและดาวเทียม แต่ยังออกอากาศปกติทางช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ ทางด้าน นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ทูไนท์ไทยแลนด์” ซึ่งออกอากาศทิ้งทวนก่อนยุติการออกอากาศ โดยระบุว่า ดุลพินิจของ กสทช. ที่จะตัดสินว่าถูกผิด ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข หรือระเบียบให้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร และที่สำคัญ สื่อเป็นตัวแทนของเสียงที่ไม่ควรถูกบีบ ซึ่งการให้ความเห็นของสื่อมันมีกรอบของกฎหมายอยู่แล้วว่าต้องเป็นข้อเท็จจริงไม่หมิ่นประมาทใคร
นายเมฆินทร์ กล่าวถึงการฟ้องร้องทางแพ่งหรือทางปกครอง ว่า จะดูตามความเหมาะสม หากมีสิทธิตรงไหนก็จะใช้สิทธินั้นอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องสู้เพื่อให้ได้ออกอากาศต้องทำอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า การถูกพักใบอนุญาตครั้งนี้เป็นเรื่องการเมือง นายเมฆินทร์ กล่าวว่า เรื่องการเมืองมันกระทบอุตสาหกรรมได้จริงๆ ซึ่งเรื่องการเมืองก็มีหลายมิติเหลือเกิน ซึ่งประเทศเราก็ยังไม่นิ่งเท่าไหร่
นายเมฆินทร์ ยังกล่าวด้วยว่า การปิดสื่อก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อนักลงทุน เพราะแปลว่าถ้ามีความเห็นที่ไม่เป็นไปตามดุลพินิจก็จะถูกปิดได้โดยไม่มีกรอบกติกาที่ชัดเจน แต่ยืนยันว่า ไม่มีเปลี่ยนจุดยืนในการทำสื่อ
“จุดยืนไม่มีใครเปลี่ยนได้อยู่แล้ว จุดยืนของอุตสาหกรรม จุดยืนของผู้เชี่ยวชาญ จุดยืนของนักบริหารไม่มีใครเปลี่ยนหรอก เพียงแต่ต้องสื่อสารให้ได้ เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้ได้ งานไม่ง่าย ผมยังเชื่อว่าสื่อมีวิวัฒนาการ ทั้งทางเทคโนโลยีทั้งคอนเทนต์ กรอบต่างๆ นานามันไม่แข็งแรงพอที่จะหยุดกลไกของสังคมได้”
ที่มา : http://manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000031369