เปิดกลยุทธ์พีแอนด์จี ประเทศไทย ปักหมุดโรงงานไทยศูนย์กลางความงามของโลก

พีแอนด์จี ประเทศไทยตั้งธงแย่งบัลลังก์แชมป์จากจีน ขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์ความงามอันดับ 1 ของโลกในด้านลดต้นทุนและรักษามาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ใน 3 ปี หลังควบรวมโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เส้นผมจากเวียดนาม เผยปัจจุบันลดต้นทุนด้านต่างๆได้มากกว่า 30% ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย

พีแอนด์จีดำเนินธุรกิจในไทยมา 30 ปีแล้ว ผลิตและส่งออกแบรนด์สินค้า อาทิ แพนทีน, เฮดแอนด์โชว์เดอร์, รีจอยซ์, แคล์รอล เฮอร์บัล เอสเซ้นส์, วิดัล แซสซูน, โอเลย์ เป็นต้น

ในประเทศไทยได้ก่อตั้งโรงงานมา 21 ปี มีประสิทธิภาพการผลิต 95% ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไปที่มีระยะเวลาก่อตั้งเท่ากัน จะมีประสิทธิภาพการผลิตประมาณ 75-80%

พีแอนด์จีจะมีการลงทุนเฉลี่ยทุกๆ 5 ปี ก่อนจะมีการลงทุนใหญ่ทุก 10 ปี โดยในส่วนของพีแอนด์จี ประเทศไทย ปัจจุบันถือได้ว่ามีความสามารถด้านลดต้นทุนด้านต่างๆ ได้มากกว่า 30% ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ทั้งยังมีของเสียในกระบวนการผลิตไม่เกิน 2%

ในประเทศไทยยังถือเป็นยุทธศาสตร์ฐานการผลิตที่มีกำลังการผลิตที่มากที่สุดอันดับหนึ่งในเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของพีแอนด์จีทั่วโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพีแอนด์จีมีการลงทุนภายในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนเงินสูงเทียบเท่ากับการเปิดโรงงานใหม่ 1 แห่ง โดยเน้นการลงทุนด้านนวัตกรรมเพื่อการผลิต รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อประหยัดค่าน้ำและค่าไฟฟ้า รวมถึงลดของเสียและป้องกันปัญหามลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

นางจุฑาภัทร บุณย์วงศกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด

จุฑาภัทร บุณย์วงศกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าพีแอนด์จีมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้พีแอนด์จี ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์ความงาม (Skin Care) ในด้านการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพลิตภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ภายใน 2-3 ปี จากปัจจุบันที่เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน หลังจากที่ได้ย้ายฐานการผลิตโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เส้นผม (Hair Care) จากประเทศเวียดนามมารวมกับประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2559 ทำให้ปัจจุบันพีแอนด์จี ประเทศไทยสามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมได้มากกว่า 10%

ปัจจุบันพีแอนด์จีมีศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3 แห่งคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดยให้ความสำคัญตลาดเอเชียมาก เพราะมาจากประชากรในเอเชียมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2559 มีส่วนแบ่งในตลาดเอเชียสูงถึง 8% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 9% ในปี 2560 โดยปัจจุบันแม้อุตสาหกรรมความงามของประเทศไทยถือเป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่เมื่อเทียบกันกับศักยภาพและคุณภาพ รวมทุนต้นทุนค่าแรงงานของไทยแล้ว ถือเป็นอันดับ 1 สูงกว่าเวียดนามและจีน จากอดีตที่มีคู่แข่งสำคัญคือมาเลเซียและอินโดนีเซีย

เน้นลงทุนนวัตกรรม

ด้านของโรงงาน ตั้งแต่ปี 2552 โรงงานพีแอนด์จี ประเทศไทย ได้ลงทุนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าลงมากกว่า 37% หรือนับเป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับ 9.6 แสนครัวเรือนต่อปี ทั้งยังลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตกว่า 36% หรือเทียบเท่าปริมาณน้ำจำนวน 360 สระมาตรฐานโอลิมปิกต่อปี (1 สระมีการใช้น้ำ 2.5 พันตัน) และสามารถลดขยะได้มากถึง 31% โดยขยะของเสียเหล่านั้นกว่า 150 ตัน ได้ผ่านกระบวนการ 3R คือ Reduce, Reuse, Recycle เช่นโครงการสนามเด็กเล่นรีไซเคิลจากขวดแชมพูเป็นต้น

สำหรับโรงงานพีแอนด์จี ประเทศไทย มีพื้นที่ 9.6 หมื่นตารางเมตร ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์เส้นผมเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นตลาดหลักคือประเทศญี่ปุ่นจนผลิตภัณฑ์จากพีแอนด์จี ประเทศไทย ได้รับการยอมรับว่าเป็น “Japan Products Made in Thailand” โดยปัจจุบันมีการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นมากถึง 30% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตะวันออกกลาง และอื่นๆ

ในอนาคตโรงงานพีแอนด์จี ประเทศไทย จะนำโครงการพลังงานชีวมวล หรือ Biomass Project เช่น เเกลบ, ชานอ้อย, กากปาล์ม, กากมันสำปะหลัง, กาบและกะลามะพร้าว และอื่นๆ มาใช้เป็นพลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้น้ำมัน หรือ Renewal Energy

ที่มา : http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000040816