ในที่ประชุมสหประชาชาติที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แจ็ค หม่า ประธานบริหารของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้กล่าวเชิญชวนให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหันมากระตุ้นการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ แทนที่จะร่างกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่อาจเป็นผลร้ายต่อตลาดได้ในระยะยาว
“ผมหวังว่าเราจะร่างระเบียบข้อบังคับขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเจ้าของธุรกิจ กระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และลดภาระทางภาษีของธุรกิจกลุ่มอีคอมเมิร์ซลง” แจ็ค หม่า กล่าวขณะเข้าร่วมงานสัมมนาประจำปี “E-Commerce Week” ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์กรการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และความเข้าใจในด้านการส่งเสริมธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติในประเทศที่ยังขาดแคลนเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และความรู้ความสามารถในด้านที่เกี่ยวข้อง ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษของ UNCTAD ในด้านการพัฒนาธุรกิจโดยคนรุ่นใหม่และการบริหารจัดการธุรกิจขนาดเล็ก แจ็ค หม่า ได้ใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ภาครัฐร่างกรอบทางกฎหมายที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็ก
ตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แจ็ค หม่า ได้เชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการค้าทั่วโลกผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic World Trade Platform – eWTP) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางมีศักยภาพที่มากขึ้นในการก้าวสู่ตลาดโลก แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยลดความซับซ้อนในเชิงกฎหมายให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งยังลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดและเงินทุนใหม่ จนสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างทัดเทียมกันยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำอย่างต่อเนื่องถึงบทบาทของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในการเติบโตของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งในด้านของการแข่งขันในภาคธุรกิจ การเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถก้าวข้ามอุปสรรคด้านระยะทางและที่ตั้ง หรือการสร้างโอกาสทางอาชีพการงานให้ทั่วถึงสำหรับทุกคน สำหรับในประเทศจีนเอง ธุรกิจของอาลีบาบาได้ก่อให้เกิดการจ้างงานมากถึง 30 ล้านตำแหน่ง ในระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึงแรงงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ชาวบ้านจากชุมชนในชนบท และผู้ด้อยโอกาส ดังที่สะท้อนให้เห็นจากมูลค่ายอดขายกว่า 12,100 ล้านหยวน (ราว 60,700 ล้านบาท) บนแพลตฟอร์มเถาเป่า (Taobao) ในกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นผู้ทุพพลภาพ