หลังจากปั้นแบรนด์คริสปี้ ครีมให้ติดตลาดในไทยมาแล้ว 7 ปี “ดร.อุษณีย์ มหากิจศิริ ลีโอณีโอ” ทายาทเนสกาแฟ ยังคงเดินหน้าคว้าแฟรนไชส์ร้านดังจากต่างประเทศ มาเสริมพอร์ต “ธุรกิจอาหาร” บริษัท คิง ฟูด กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัว ที่ปัจจุบันมีแบรนด์ในเครือ 6 แบรนด์ ได้แก่ คริสปี้ ครีม, ชินนาบอน, บลูโกกิ บราเธอร์ส, พายเฟสซ์, แจมบ้า จูซ และไอฮอป
ปีนี้อุษณีย์ได้ใช้งบลงทุนซื้อแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ และทำตลาดแบรนด์เดิมรวม 300-400 ล้านบาท เริ่มจาก แจมบ้า จูซ เป็นแบรนด์ครื่องดื่มน้ำผักผลไม้แบบสมูทตี้จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีอายุ 27 ปีแล้ว มีสาขาทั้งหมด 900 สาขาทั่วโลกในสหรัฐอเมริกาเกาหลีใต้ฟิลิปปินส์ไต้หวันอินโดนีเซียสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และไทย
อีกแบรนด์ คือ ไอฮอป แบรนด์ร้านแพนเค้กจากสหรัฐอเมริกา ได้ซื้อลิขสิทธิ์นำเข้ามาเปิดตัวในเกือนมิถุนายน
อุษณีย์ บอกว่า หลักในการเลือกซื้อแฟรนไชส์มาทำตลาดทั้ง 6 แบรนด์ อย่างแรก ต้องเป็นแบรนด์ที่ชอบก่อน ให้ความรู้สึกว่าอยากส่งต่อให้คนอื่นได้ลองด้วย จากนั้นก็มาดูโอกาสในประเทศไทยว่าเทรนด์อาหารแบบไหนกำลังมา พฤติกรรมคนไทยเป็นอย่างไร
สำหรับ แจมบ้า จูซ ใช้เวลาในการเจรจาซื้อแฟรนไชส์ราว 1 ปี มองเห็นโอกาสในเรื่องของการดูแลสุขภาพ การดื่มน้ำผักผลไม้ การดูแลตนเองมากขึ้น โดยที่ตลาดน้ำผักผลไม้ในไทยมีมูลค่า 4,000 ล้านบาท มีการเติบโตทุกปี และในไทยยังมีร้านน้ำผักผลไม้ไม่มากทำให้มีโอกาสมีเยอะ
“เป็นคนชอบกินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเลือกทำธุรกิจอาหาร แบรนด์ที่เลือกเข้ามาทำตลาดก็เป็นแบรนด์ที่ตัวเองชอบทั้งสิ้น จนรู้สึกมั่นใจก็เอาเข้ามาทำตลาด มีแผนอยากทำแบรนด์เป็นของตัวเองเหมือนกัน เป็นร้านอาหารไทยสไตล์คอนเท็มโพราลี่ ที่สามารถทำแล้วขายไปต่างประเทศได้ด้วย“
ราคาของแจมบ้า จูซเริ่มต้นที่ 110-180 บาท จับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงาน คนที่ดูแลสุขภาพ โดยที่เปิดสาขาแรกมี่สยามพารากอน และมีแผนที่จะเปิดอีก 3 สาขาในปีนี้ ยังคงจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ในช่วงเปิดตัว เพื่อสร้างกระแสให้คนมาต่อแถว และบอกต่อกันในโลกออนไลน์อย่างที่เคยสร้างกับแบรนด์อื่นมาแล้ว
สำหรับภาพรวมของบริษัทในปี 2559 มีรายได้รวม 600-700 ล้านบาท เติบโต 15% คริสปี้ ครีมยังเป็นแบรนด์หลักที่สร้างรายได้ในสัดส่วน 90% ส่วนอีก 10% เป็นแบรนด์อื่นๆ ส่วนแบรนด์แจมบ้า จูซได้มีการตั้งเป้ารายได้ 30 ล้านบาท