เตรียมตกงานแล้วหรือยัง ? เมื่อหุ่นยนต์ครองโลก ค้าปลีก-อาหารเจอแน่ นักบินเสี่ยงตกงานมากกว่านักข่าว

ผู้คนในสหรัฐอเมริกากำลังวิตกกังวลกันอย่างมากก็คือ การถูกหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ “แย่งงาน” โดยมีการคาดการณ์ว่างานหลายล้านตำแหน่งมีสิทธิถูกระบบอัตโนมัติเข้าทำแทน และจากแนวโน้มดังกล่าวนั้นยังพบอีกด้วยว่า “ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะตกงานมากกว่าผู้ชาย”

ตัวเลขดังกล่าวเป็นรายงานของ Institute for Spatial Economic Analysis หรือ ISEA ที่พบว่า ลักษณะงานที่ส่วนใหญ่แล้วว่าจ้าง “ผู้หญิง” อยู่ทุกวันนี้ เช่น งานแคชเชียร์ เป็นงานที่มีโอกาสถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยข้อมูลจาก ISEA ระบุว่า ผู้ที่ทำหน้าที่แคชเชียร์ในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นผู้หญิงถึง 73 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขจากปี 2016)

นอกจากนี้ การจัดอันดับของ ISEA โดยพิจารณาตามเชื้อชาติถึงความเสี่ยงที่จะตกงานยังพบด้วยว่า แรงงานที่เป็นชาวละตินอเมริกา และชาวแอฟริกัน-อเมริกัน นั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียตำแหน่งงานให้กับระบบอัตโนมัติ 25 เปอร์เซ็นต์และ 13 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ขณะที่แรงงานจากเอเชียนั้นมีความเสี่ยงประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแรงงานผิวขาว

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลการจ้างงานในปี 2016 จากงานวิจัยของอ็อกฟอร์ด และสถิติจากสำนักงานแรงงาน (Bureau of Labor) ว่า ตำแหน่งงานใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดจากระบบอัตโนมัติ เพื่อจะได้ทราบกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการถูกเลิกจ้าง ในกรณีที่นายจ้างหันไปพึ่งพาระบบอัตโนมัติหรือเครื่องจักรแทนแรงงานคน

ISEA พบว่า ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดต่อการตกงานคือ “ระดับการศึกษา” คนที่ไม่จบแม้กระทั่งมัธยมปลายจะเสี่ยงต่อการสูญเสียโอกาสในการหารายได้สูงกว่าคนที่จบปริญญาเอกประมาณ 6 เท่า เพราะคนเหล่านี้สามารถทำงานได้เฉพาะงานที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก และที่สำคัญ งานเหล่านั้นกำลังจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์

นักวิจัยเจ้าของรายงานดังกล่าวระบุว่าการมาถึงของเทคโนโลยียุคใหม่นี้กำลังจะเกิดผลลัพธ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือการจ้างคนที่ต้องตกงานเพราะระบบอัตโนมัติให้เข้าไปทำงานอื่น ๆ ทดแทน แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่างานรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้คนในกลุ่มเสี่ยงมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพหรือไม่

ค้าปลีก – ร้านอาหาร ติดโผ เสี่ยงสูง

ส่วนหนึ่งที่ทำให้อาชีพหลายอาชีพเสี่ยงตกงานก็คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการขายได้มากขึ้นแทนการจ้างพนักงาน ยกตัวอย่างเช่น แท็บเล็ตกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยงานขายที่มีประสิทธิภาพผู้บริโภคสามารถเช็กข้อมูลของสินค้าได้จากแท็บเล็ตที่มีให้บริการได้เลย หรือในกรณีของห้าง Lowe ที่นำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการแนะนำสินค้า และช่วยหาสินค้าที่ลูกค้าต้องการ

ภาพจากห้าง Lowe ที่นำหุ่นยนต์มาใช้ในการแนะนำสินค้าให้กับลูกค้า

ธุรกิจร้านอาหารก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย มร.เกร็ก ครีด (Greg Creed) ซีอีโอของแบรนด์ยัม (Yum) ออกมาประกาศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า เครื่องจักรจะเข้าแทนที่แรงงานคนในร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งรูปแบบการเปลี่ยนแปลงจะเหมือนกับการต้มกบ ที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปทีละน้อย ๆ เมื่อรู้สึกตัวอีกที ซึ่งอาจเป็นช่วงปี 2025 – 2030 ภาพเหล่านั้นจึงจะชัดขึ้น โดยร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่บริษัทถือครองอยู่ก็คือ เคเอฟซี (KFC) ทาโคเบลล์ (Taco Bell) และพิซซ่าฮัท (Pizza Hut)

รู้จักเว็บไซต์ “Will Robots Take My Job?” 

นักบินเสี่ยงตกงานสูงกว่านักข่าว

สำหรับใครที่อยากประเมินว่าโอกาสที่เราจะตกงานนั้นมีมากน้อยเพียงใด สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ “Will Robots Take My Job?” แล้วลองกรอกชื่อตำแหน่งงานที่ทำอยู่ลงไป และเว็บไซต์จะตอบกลับมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงในการสูญเสียงาน เช่น ตำแหน่งผู้สื่อข่าวนั้น พบว่า ณ ปัจจุบันมีความเสี่ยงอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตำแหน่งนักบิน (สายการบินพาณิชย์) นั้นมีความเสี่ยงถึง 55 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่มีรายได้ดี และหากมีระบบอัตโนมัติเข้าทำงานแทนจะส่งผลให้ภาคธุรกิจประหยัดงบประมาณได้อีกมาก ส่วนอีกตำแหน่งงานที่เสี่ยงไม่แพ้กันคือ นักสืบ กับระดับความเสี่ยง 31 เปอร์เซ็นต์

อาชีพสร้างหนังเสี่ยงต่ำ

https://willrobotstakemyjob.com/ ได้ระบุถึงงานในตำแหน่งที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น อะนิเมเตอร์ ผู้สร้างสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ผู้สร้างภาพยนตร์ กลับเป็นงานที่มีความเสี่ยง “ต่ำมาก” ที่ 1.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในปัจจุบันนั้น ยังมีความสามารถที่จำกัดอยู่พอสมควร

แต่สิ่งที่สหรัฐอเมริกาและอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกต้องกังวลก็คือ เทรนด์ของร้านค้าปลีกที่กำลังจะเลิกจ้างพนักงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และนำระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนที่ ดังเช่นกรณีของ เซเว่น – อีเลฟเว่น และแอมะซอนที่ใช้ระบบอัตโนมัติคิดเงินแทนแคชเชียร์ ซึ่งปัจจุบัน ตัวเลขการจ้างงานในตำแหน่งนี้ของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 6 – 7.5 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยแรงงานทั้งประเทศ ดังนั้น หากเกิดการทยอยเลิกจ้างขึ้นจริง ผลกระทบที่ตามมาจะหมายถึงเศรษฐกิจในภาพรวมที่อาจได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ที่มา : http://mgronline.com/asp-bin/PrintNews.aspx?NewsID=9600000068224