ทำตลาด “ทีวี” ยุคนี้ ไม่ใช่แค่ “ฟังก์ชัน” การใช้งาน หรือขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคนี้ ที่ซับซ้อนขึ้น เลือกมากขึ้น และมองว่า เทคโนโลยีต้องตอบสนองไลฟ์สไตล์ เพราะคนยุคนี้มีกิจกรรมให้ทำมากขึ้น
ผลสำรวจของ “ซัมซุง” พบว่า ผู้บริโภคดูทีวี เฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่ “ทีวี” จะถูกปิดเป็น “จอสีดำ” ตั้งอยู่ภายในบ้าน ผู้บริโภคจึงมองหา “ทีวี” ที่รูปลักษณ์สวยงาม กลมกลืนไปกับทุกๆ ห้องในบ้าน ปิดทีวีแล้วยังใช้ประโยชน์ได้ จึงเป็นที่มาของ “ซัมซุง เดอะเฟรม” ไลฟสไตล์ทีวี ที่เน้นรูปลักษณ์การออกแบบ
งานนี้ ซัมซุงเลยต้องไปดึงเอา อีฟ เบฮาร์ ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวสวิสมาออกแบบทีวีให้ ดีไซน์ทีวีเหมือนกรอบภาพ โดยมีคลังภาพเพื่อแสดงบนหน้าจอเมื่อไม่ได้ดูทีวี ทั้งงานศิลป์จากศิลปินระดับโลก 100 แบบ จากศิลปิน 10 สาขา 37 คน และคลังภาพส่วนตัว เรียกว่า เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นแกลเลอรีกันเลย
ทีวีรุ่นนี้จะมีให้เลือก 2 ขนาด คือ 55 นิ้ว ราคา 69,990 บาท และ 65 นิ้ว ราคา 99,990 บาท โดยมีกรอบทีวีให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ 3 สี ได้แก่ สีวอลนัท สีไม้เบจ และสีขาว
วรรณา สวัสดิกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ขยายความถึงภาพรวมตลาดทีวีในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน 2560 ตลาดโดยรวมติดลบอยู่ 2-3%
ตลาดทีวีทีมีราคาระดับทั่วไปขนาดจอไม่เกิน 49 นิ้ว ค่อนข้างอยู่ในสภาวะอิ่มตัว ทั้งนี้เป็นเพราะคนไทยไม่นิยมเปลี่ยนทีวีบ่อยๆ จะเปลี่ยนต่อเมื่อเครื่องเก่าเสีย ซื้อบ้านใหม่ หรือรีโนเวตบ้านเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาในการเปลี่ยนเครื่องใหม่แต่ละครั้งอยู่ที่ประมาณ 7-10 ปี และโดยเฉลี่ยแต่ละบ้านมีทีวีอยู่แล้ว 2-5 เครื่อง แต่จะขายดีอีกครั้งเมื่อมีมหกรรมกีฬาระดับโลก เช่นฟุตบอลโลก ซึ่งก็ไม่ได้มีทุกปี
การวางตลาด ซัมซุงเดอะเฟรม จึงน่าจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในระดับกลางถึงระดับบน ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ายังมีกำลังซื้อที่ดีและพร้อมจะซื้อสินค้าใหม่หากมีเทคโนโลยีหรือดีไซน์ที่โดนใจ
โดยซัมซุงจะใช้งบการตลาด 10 ล้านบาท ใช้ไปกับการจัดดิสเพลย์หน้าร้านที่จัดจำหน่ายให้คล้ายกับเป็นแกลเลอรีแสดงงานศิลปะ โดยจะวางขายที่ร้านค้า 40 แห่งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ รวมถึงเน้นการตลาดออนไลน์ สร้างการรับรู้ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อในโลกโซเชียล ทั้งนี้ซัมซุงตั้งเป้ายอดขายเดอะเฟรมไว้ที่ 100 ล้านบาท
สำหรับเทรนด์ของทีวีในอนาคตคาดว่าผู้บริโภคจะหันมาสนใจทีวีที่มีจอใหญ่มากขึ้น โดยปัจจุบันตลาดทีวีมูลค่า 28,000 – 30,000 ล้านบาทหรือปริมาณ 2-2.3 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นทีวีขนาด 49 นิ้วขึ้นไป 40% และน้อยกว่า 49 นิ้ว 60%