สมาร์ทโฟนแห่คัมแบ็กตลาดไทย

แอลจีไม่ใช่แบรนด์แรกที่กลับมาทำตลาดในไทยในช่วงนี้ เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีแบรนด์สมาร์ทโฟนเก่าแก่ได้พยายามกลับเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย อย่าง “โมโต” ภายใต้บ้านหลังใหม่ที่อยู่กับเลอโนโว หลังจากหายในการทำตลาด 5 ปี การกลับมาครั้งใหม่ได้วางจุดยืนเป็นสมาร์ทโฟนในระดับกลาง-พรีเมี่ยม ราคาเริ่มต้นที่ 8,000 บาท

เลอโนโวได้พยายามรีแบรนด์ใหม่โดยตัดชื่อแบรนด์เหลือแค่โมโต จากชื่อเดิมคือโมโตโรล่า เพื่อง่ายต่อการทำตลาด และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค เพราะหลายคนยังคงวลีเด็ดจากโฆษณาว่าฮัลโหล โมโตได้อยู่ พร้อมกับจัดทัพสมาร์ทโฟนในหลากหลายราคา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับกลางราคาตั้งแต่ 5,000-15,000 บาท เพราะตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของตลาดสมาร์ทโฟน

ในประเทศไทยได้มีพีเซ็นเตอร์ก็คือทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ เพื่อเป็นคนสื่อสารกับผู้บริโภคในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ต่อมาที่แบรนด์โนเกียเป็นอีกแบรนด์ที่ได้กลับเข้ามาทำตลาดในไทย ภายใต้บ้านใหม่เช่นกัน HMD Global สตาร์ทอัพจากประเทศฟินแลนด์ โนเกียเป็นแบรนด์ที่เคยประสบความสำเร็จในไทยอย่างมาก ตอนนั้นเป็นแบรนด์มือถือที่แข็งแกร่งมาก ครองอันดับหนึ่งมายาวนาน เรียกว่าแบรนด์เบอร์สองอย่างซัมซุงก็โค่นไม่ได้ แต่เมื่อยุคสมาร์ทโฟนเข้ามา โนเกียไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็มีอันต้องหลุดตลาดไป และมีการย้ายบ้านอยู่บ่อยครั้ง

การเริ่มต้นการกลับมาทำตลาดโนเกียได้เริ่มสร้างกระแสการกลับมาด้วยการปัดฝุ่นนำรุ่นโนเกีย 3310 มือถือในตำนานของใครหลายๆ คนมาทำตลาดใหม่ ปรับโปมจากฟีเจอร์โฟนเป็นสมาร์ทโฟนพร้อมกับเกมงู และเครื่องที่ทนทาน แต่รุ่นนี้ไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย เพราะรุ่นนี้รองรับแค่ระบบ 2G ประเทศไทยไม่รองรับระบบนี้แล้ว แต่ก็สามารถสร้างการรับรู้ได้อย่างดี ให้แฟนๆ ในอดีตได้คิดถึง

รวมถึงการจัดทัพสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ที่ปล่อยออกมาเป็นซีรีส์ก็มาใช้ระบบแอนดรอยด์เต็มตัวหลังจากที่ก่อนหน้านี้ใช้ระบบวินโดว์โฟน ได้วางจุดยืนเป็นสมาร์ทโฟนในระดับกลางพรีเมี่ยมเช่นกัน ตอนนี้มีรุ่นโนเกีย 8 เป็นแฟลกชิพ ราคาสูงสุดที่ 19,500 บาท

ทำให้เห็นว่าตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก ถึงแม้ในช่วงหลายปีนี้ตลาดจะเริ่มนิ่งๆ แต่ก็เห็นผู้เล่นในตลาดยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังดึงแบรนด์เก่าที่เคยทำตลาดในไทยได้กลับมาด้วย

เมื่อดูภาพรวมตลาดแล้วยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะโต 4% มีมูลค่า 1 แสนล้านบาท หรือจำนวน 16-17 ล้านเครื่อง ประเทศไทยยังคงมีโอกาสในการเติบโตของตลาดนี้ เพราะยังมีโอกาสขยายฐานผู้ใช้ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น