แม้ว่า โนเกีย (Nokia) จะไม่ได้ทำธุรกิจมือถือแล้ว เพราะขายสิทธิในการผลิตและจัดจำหน่ายให้กับ HMD Global ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่โนเกียก็ยังทำธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานโทรศัพท์มือถืออยู่
อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Nokia ก็ร่วงลง 8% หลังจากบริษัทได้รายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/2024 ที่ลดลงมากถึง 32% เหลือ 423 ล้านยูโร ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่ทำกำไร 619 ล้านยูโร หรือลดลงเกือบ 1 ใน 3 โดยปัจจัยที่ทำให้กำไรของ Nokia ลดลงเนื่องมาจากความต้องการอุปกรณ์ 5G ที่ลดลง โดยยอดขายสุทธิของบริษัท ลดลง 18% เหลือ 4.47 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2015
“ผลกระทบที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อปีที่แล้วเราเห็นถึงจุดสูงสุดของการใช้งาน 5G อย่างรวดเร็วในอินเดีย โดยอินเดียคิดเป็น 3 ใน 4 ของการลดลง” Pekka Lundmark ซีอีโอของ Nokia กล่าว
โดยภาพรวมของตลาดจะยังคง ท้าทาย เนื่องจากผู้ให้บริการยังคงระมัดระวังในการลงทุนภาคส่วนเครือข่ายมือถือ แต่ Nokia คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมจะ มีเสถียรภาพ และ ยอดขายจะเติบโตขึ้น อย่างมีนัยสำคัญในช่วง ครึ่งหลังของปีนี้ โดยอิงจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นในไตรมาสล่าสุด
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเป้าผลการดำเนินงานทั้งปีให้ใกล้เคียงกับคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งอยู่ที่ 2.3-2.9 พันล้านยูโร
“แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่การฟื้นตัวของยอดขายกลับเกิดขึ้นช้ากว่าที่เราคาดไว้เล็กน้อย แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เราก็ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งปี โดยได้รับการสนับสนุนจากการดำเนินการอย่างรวดเร็วของเราในเรื่องต้นทุน”
ทั้งนี้ Nokia ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการสูญเสียสัญญาหลักในอเมริกาเหนือเมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง AT&T เลือก Ericsson เป็นซัพพลายเออร์เพื่อสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมที่เรียกว่า ORAN เท่านั้น
บริษัทสัญชาติฟินแลนด์และคู่แข่งสัญชาติสวีเดนอย่าง Ericsson ได้เริ่มดำเนินโครงการลดต้นทุนอย่างหนักท่ามกลางการต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม Nokia ประกาศว่าจะเลิกจ้างพนักงานมากถึง 14,000 คน หลังจากรายได้ในไตรมาสที่ 3/2023 ลดลง โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนรวมลงระหว่าง 800-1,200 ล้านยูโร ภายในปี 2026 โดยปัจจุบันบริษัทได้ลดต้นทุนลงแล้วประมาณ 400 ล้านยูโร