จำนวนของมหาเศรษฐีในโลกเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้วกลายเป็น 16.5 ล้านคนโดยมีสินทรัพย์รวมกันทั้งสิ้น 63.5 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 2.1 พันล้านล้านบาท) อ้างจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก Capgemini
สินทรัพย์ของผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individuals: HNWI) ซึ่ง Capgemini นิยามว่าเป็นผู้ที่มีสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33 ล้านบาท) ขึ้นไป ไม่รวมที่พักอาศัย ของสะสม และบริโภคภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 8.2 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเกินกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025
รายงานระบุว่า คนราว 1.15 ล้านคนกลายเป็นมหาเศรษฐีใหม่เมื่อปีที่แล้ว มหาเศรษฐีใหม่ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี และจีนซึ่งคิดเป็นเกือบสองในสามของจำนวนทั้งหมด
ในสหรัฐฯ ผู้มีความมั่งคั่งสูงเพิ่มขึ้นจาก 4.46 ล้านคนเป็น 4.8 ล้านคน ในขณะที่ตัวเลขดังกล่าวในจีนเพิ่มจากเพียงกว่า 1 ล้านคนเป็น 1.13 ล้านคน
เอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือมีสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งเท่าๆ กัน โดยรัสเซีย บราซิล และแคนาดากลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการลดลงเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว รายงานเผย
รัสเซียซึ่งได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นได้เห็นทั้งจำนวนมหาเศรษฐีและสินทรัพย์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นราว 20 เปอร์เซ็นต์
ฝรั่งเศสแซงหน้าอังกฤษในห้าอันดับแรกในแง่ของจำนวนมหาเศรษฐีเนื่องจากการฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่สวีเดนเขี่ยสิงคโปร์ที่เผชิญการปรับตัวลงในตลาดตราสารทุนออกจาก 25 อันดับแรก
การสำรวจการครอบครองทรัพย์สินทางการเงินของมหาเศรษฐีเผยให้เห็นว่า พวกเขาครอบครอง 31.1 เปอร์เซ็นต์ของตราสารทุนในไตรมาสที่สองของปี 2017 เทียบกับ 24.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2016
รายได้คงที่ทรงตัวอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เงินสดเพิ่มขึ้นจาก 23.5 เปอร์เซ็นต์เป็น 27.3 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนทางเลือกเช่น เฮดจ์ฟันด์ ตราสารอนุพันธ์ เงินตราต่างประเทศ โภคภัณฑ์ และหุ้นนอกตลาดลดลงจาก 15.7 เปอร์เซ็นต์เหลือ 9.7 เปอร์เซ็นต์
รายงานไม่ได้บอกถึงเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงนี้แต่การเติบโตอย่างเข้มแข็งขึ้นทั่วโลกบวกกับสภาพคล่องอย่างมากภายหลังหลายปีของการกระตุ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนของธนาคารกลางทั่วโลกได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อีกด้านหนึ่ง นักลงทุนหลายคนกังวลถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ และไม่มั่นใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่อาจมีต่อเศรษฐกิจและตลาดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯยกเลิกการกระตุ้นแบบพิเศษ
เหล่ามหาเศรษฐีได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 24.3 เปอร์เซ็นต์จากพอร์ทการลงทุนที่ได้รับการตรวจสอบโดยบริษัทวางแผนการจัดการสินทรัพย์
ที่มา : mgronline.com/around/detail/9600000099481