ดี–แลนด์ กรุ๊ป เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง ที่คร่ำหวอดอยู่ในโซนพระราม 2 สมุทรสาคร จากนั้นได้ขยายมาสู่ธุรกิจค้าปลีก ด้วยการเป็นเจ้าของโครงการพอร์โต ชิโน่ (Porto Chino) ไลฟ์สไตล์มอลล์ ในทำเลเดียวกัน บนเนื้อที่ 15 ไร่
มาถึงปลายปีนี้ ดี–แลนด์ กรุ๊ป ได้วางทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการแตกทำเลหันมาพัฒนาโครงการในโซนเศรษฐกิจใน 3 โซนหลัก คือ ศรีราชา ระยอง และบางบัวทอง–นนทบุรี เพื่อรับกับการเป็นเขตการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรือ EEC โดยมีทั้งโครงการใหม่ที่จะเริ่มขึ้นในปลายปีนี้
“แนวทางการพัฒนาของเราจะขยายไปในพื้นที่ที่มีแหล่งงานเกิดขึ้น และจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนตะวันตกเชื่อว่า ในอนาคตจะเป็นฮับของแหล่งงาน และการคมนาคม” เพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว
ส่วนอีกธุรกิจที่จะเป็น “ไฮไลต์” ต่อไปคือขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์มอลล์ ภายใต้แบรนด์ใหม่ “พอร์โต้ โก” (Porto Go) ถือว่าเป็นแบรนด์ลูกของพอร์โต้ ชิโน่ ให้ได้ 20 แห่ง จะเน้นทำเล “ชานเมืองรอบกรุงเทพฯ ในรัศมีไม่เกิน 50 กิโลเมตร (กม.) และหัวเมืองท่องเที่ยว” เช่น จังหวัดชลบุรี และระยอง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2560 เป็นต้นไป คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท หรือสาขาละประมาณ 400 ล้านบาท
รูปแบบจะมีทั้งซื้อที่ดิน และเช่าที่ดินระยะยาว โดยสาขาแรกจะเริ่มที่ บางปะอิน จ. พระนครศรีอยุธยา ขณะนี้ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการได้ในปลายเดือนธันวาคม 2560 โดยที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการเช่าระยะยาว 30 ปี และในไตรมาส 2-3 ปี 2561 จะเปิดที่สาขาถนนพระราม 2 กม. 41 อีก 1 โครงการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่
“สาเหตุที่ขยายไลฟ์สไตล์มอลล์เพิ่มขึ้น เพราะต้องการให้เป็นทางเลือกของลูกค้า แทนที่จะมีแค่สถานีน้ำมันเพียงอย่างเดียว คอนเซ็ปต์ของพอร์โต้ โก จะเป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ เน้นเรื่องปลอดภัย เป็นการรวมร้านอาหาร ร้านค้าแบรนด์ดัง ไว้ในโครงการ”
ส่วนแบรนด์พอร์โต้ ชิโน่ ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 หรือ 5 ปีที่แล้ว งบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ยังคงมีแห่งเดียวที่ จ.สมุทรสาคร คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 8 ปี
นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีแผนที่จะแตกไลน์ไปยังธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ประจำ และสร้างความมั่นคง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล โดยอาจจะเป็นธุรกิจประเภทโรงแรม
การเปิดเกมรุกของ ดี–แลนด์รอบนี้ เพื่อรอจังหวะของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปี 2563 ยังมีแผนที่จะนำบริษัทฯขณะนี้อยู่ในระหว่างการคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน
ในปี 2560 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายที่ 1,200 ล้านบาท และเป้ารายได้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับรายได้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 900 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้ยอดรายได้จะลดลงจากเป้าที่วางไว้ประมาณ 10% ซึ่งสืบเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
ที่มา : manager.co.th