ช่อง 3HD เลือก “ชูวิทย์” ส่วนช่อง 3SD เลือก “ทนายสงกานต์” ทั้งสองคนในยุคนี้จัดเป็น “นักเล่าข่าวตัวพ่อ” ของสนามข่าวเช้าที่จะเริ่มเปิดศึกเดือนหน้า นี่คือการรุกของพี่น้องสองช่องในครอบครัวเดียวกันที่วิก 3 พระราม 4
ทีเซอร์โปรโมตรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้ โฉมใหม่” ของช่อง 3HD (33) ที่ถูกแชร์ผ่านเฟซบุ๊กของรายการ กำลังกระตุ้นการแข่งขันดึงผู้ชมข่าวเช้าอีกครั้ง เพราะโฉมใหม่ได้ดึง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” มาเป็นเสริมทัพ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการแก้เกมล่าสุดของช่อง 3HD หลังเรตติ้งร่วงมานานหลังไม่มี “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” อยู่หน้าจอ จนแพ้ช่อง 7 และสำคัญยิ่งกว่า คือถ้าไม่ปรับตัวอาจแพ้ช่องน้องในเครืออย่าง 3SD ที่ดึงทนายความดังอย่าง “สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์” มาเสริมทัพข่าวเช้า นอกเหนือจากมีรายการทอล์กอยู่แล้ว
“ชูวิทย์” เปิดเผยกับ Positioning ว่าตอบรับร่วมจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้กับช่อง 3HD จริง “เพราะผมเป็นคนทำอะไรก็ทำเต็มที่” แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าถูกวางบทบาทหน้าจอรายการเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับบรรณาธิการของรายการ
แน่นอนคนต้องสงสัยว่าแล้วรายการ “ชูวิทย์ ตีแสกหน้า” ช่วงค่ำ ที่ทำอยู่กับช่องไทยรัฐ 32 ยังทำต่อมั้ย เขายืนยันว่า “ยังทำงานกับไทยรัฐช่วงค่ำเหมือนเดิม”
ร่วมจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้จริง เพราะผมเป็นคนทำอะไรก็ทำเต็มที่ และทำงานกับไทยรัฐข่วงค่ำเหมือนเดิม
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
เท่ากับว่าหลังจากนี้คาดว่าต้นเดือน พ.ย.นี้ “ชูวิทย์” จะเจอคุณผู้ชมผ่านจอช่อง 3HD ในช่วงเช้า ส่วนค่ำ เจอกันที่ช่องไทยรัฐเหมือนเดิม
มากันที่ช่องรุ่นน้องอย่าง 3SD เตรียม “ทนายสงกานต์” ไว้เป็นแม่เหล็กเรียบร้อยแล้ว พบกันต้นเดือน พ.ย.นี้
นี่คือจุดที่พี่น้อง 2 ช่อง ของช่อง 3 เลือกเฟ้นนักเล่าข่าวที่กำลังเป็น “ตัวพ่อ” หน้าจอ เพราะมีลีลา น้ำเสียงดึงผู้ชมได้ เพราะดังอยู่แล้ว หลังจากสร้างความคุ้นเคยหน้าจอมานาน โดยไม่ได้เติบโตจากอาชีพพิธีกร หน้าตาไม่ได้หล่อ และอายุก็มากด้วย แต่ยุคนี้โดยเฉพาะช่วงข่าวเช้า คุณผู้ชมไม่ค่อยมีเวลา ก็ขอฟังอะไรที่น้ำเสียงดังฟังชัด ๆ เคลียร์ และกระฉับกระเฉง
“ชูวิทย์” ซึ่งเพิ่งออกจากเรือนจำเมื่อปลายปี 2559 และจัดรายการกับช่องไทยรัฐตั้งแต่ปี 2560 เขาเป็นส่วนหนึ่งของโฉมใหม่ของเรายการเรื่องเล่าเช้านี้ หลังจากที่ 1 ปี 7 เดือน ที่รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” มีเรตติ้งแพ้ช่อง 7 และกำลังถูกหายใจรดต้นคอจากช่อง 8 อาร์เอส
เรตติ้ง “เรื่องเล่าเช้านี้” ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจาก “สรยุทธ” พิธีกรข่าวเบอร์ 1 ของช่องต้องลาจอไปตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. 2559 เพราะในฐานะที่เป็นผู้บริหารบริษัทไร่ส้ม ถูกศาลพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน ในคดีความผิดฐานสนับสนุนการทุจริตเงินค่าโฆษณาเมื่อครั้งเคยทำธุรกิจกับช่อง 9
หลังจากนั้นช่อง 3HD ได้ปรับเปลี่ยนตัวพิธีกรมาตลอด แต่ยังมี “น้องไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ” พิธีกรที่นั่งคู่กับ “พี่ยุทธ” มานานตั้งแต่ธ.ค. 2553 เป็นพิธีกรหลัก และลงตัวที่พิธีกรชาย มาเป็น “วิภู พุ่มแก้วกล้า” จากช่อง 9 ตั้งแต่ มิ.ย. 2559 แต่ช่องอื่นก็ปรับตัว โดยเฉพาะช่อง 8 อาร์เอส และช่องเวิร์คพอยท์ ทำให้ฐานผู้ชมทีวีช่วงเช้ากระจายไปอยู่ช่องต่าง ๆ
สถานการณ์เรื่องเล่าเช้านี้ไม่ดีขึ้น เรตติ้งหาย เงินโฆษณาก็หายไปกว่า 30-40% จากนั้นตั้งแต่ 3 ต.ค. 2559 ผู้บริหารช่อง 3 ตัดสินใจลดเวลา “เรื่องเล่าเช้านี้” ลงอีก 45 นาที จากเดิมเริ่ม 06.00 น.จบ 09.30 น. เป็นจบเร็วขึ้น คือ 08.30 น.
ตอกย้ำว่าพลังของการเล่าข่าวสไตล์ “สรยุทธ” คือตัวดันเรตติ้ง หลังสร้างปรากฏการณ์ทำให้ข่าวเช้าช่อง 3 กลายเป็นเบอร์ 1 และติดลมบนมานาน เพราะพิธีกรข่าวพูดอะไรทำอะไร คนดูก็เปิดแช่ช่องดู เพราะเล่าข่าวเข้าใจง่าย เสียงดังฟังชัด ไม่ต้องดูจอก็ฟังข่าวรู้เรื่อง ตัวเลขเรตติ้งของรายการข่าวเช้าช่อง 3 ดีขึ้นและรักษาระดับได้ต่อเนื่อง อย่างเช่น ต.ค. 2555 ก่อนประมูลทีวีดิจิทัล เรตติ้งทะลุไปถึง 3-4 หรือคิดเป็นจำนวนผู้ชมมากกว่า 2 ล้านคนในบางวัน ขณะที่ช่อง 7 รายการเช้านี้ที่หมอชิต มีเรตติ้งประมาณ1.5-2 หรือประมาณ 1 ล้านคน ส่วนเม็ดเงินโฆษณาก็ได้เป็นกอบเป็นกำจากไม่กี่หมื่นทะลุหลักแสน และหลายแสน โดยเฉพาะการพูดแบบ Tie-in ของ “สรยุทธ” ในรายการ ที่พูดไม่กี่นาทีรับไปกว่า 2 แสนบาท
หลังช่องทีวีดิจิทัลเกิดขึ้นกว่า 20 ช่อง และจุดพีคคือคำพิพากษา ที่ทำให้ “สรยุทธ” ต้องลาจอ เรื่องเล่าเช้านี้ เรตติ้งก็เริ่มลง จนเดือนมี.ค. 2559 เหลือ 1.5 ส่วนช่อง 7 เช้านี้ที่หมอชิต ก็ทะลุไป 2.3 แม้หลายคนจะบอกว่าไม่ควรเปรียบเทียบกับ เพราะเริ่มและจบเวลาออนแอร์ไม่เท่ากัน แต่นี่คือการสะท้อนวิธีการเลือกยุทธศาสตร์เวลาออนแอร์ในการดึงผู้ชมของฝ่ายจัดผังรายการ เพราะช่อง 7 เลือกต่อด้วยรายการ “สนามช่าว” เพื่อตรึงผู้ชมให้ต่อเนื่องได้มากกว่า แต่ช่อง 3 เลือกยิงยาวประมาณ 3 ชั่วโมง โดยมีพิธีกรมาเพิ่ม เพื่อมาเล่าข่าวกีฬา ข่าวต่างประเทศ บันเทิง และการแสดงตอนท้ายรายการบ้าง
การเปรียบเทียบกับคู่แข่งนอกเครืออาจไม่น่ากลัวเท่ากับการเปรียบเทียบกับคู่แข่งในเครือเดียวกัน หลายคนรู้สึกอย่างนั้น
“เรื่องเล่าเช้านี้” ที่ยังมีน้องในเครืออย่างช่อง 3SD ที่แม้รายการข่าวยังไม่เปรี้ยง แต่อาจจะเปรี้ยงในไม่ช้า เพราะแม้เรตติ้งจะมีคนดูระดับหมื่น แต่ก็มีแนวโน้มขาขึ้นมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อ “ประวิทย์ มาลีนนท์” อดีตบิ๊กบอสของช่อง 3 มาลุยเอง ที่ตอนนี้ถอยให้น้องชายคนเล็ก คือ “ประชุม มาลีนนท์” ดูแลช่อง 3 ใหญ่ หรือ 3HD แทน ส่วน “นายประวิทย์” มุ่งมั่นเร่งพัฒนาช่อง 3SD รวมทั้งรายการข่าว
ช่อง 3HD “เรื่องเล่าเช้านี้” ผลิตโดยกลุ่มบริษัทบีอีซี –เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ที่บริษัทแม่ของกลุ่มช่อง 3 คือ บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 59.99% ที่ตอนนี้เลือกคำตอบคือ “ชูวิทย์” แม้จะช้ากว่าช่องไทยรัฐ แต่ก็ไม่เสียหาย
ส่วนช่อง 28 หรือ 3SD “นายประวิทย์” วางใจจ้างกลุ่มบริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผลิต โดยเลือกคนเด่นดังในเวลานี้ อย่าง “ทนายสงกานต์” มาช่วยดันเรตติ้ง เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศให้มากที่สุด
จุดเปลี่ยนในเวลานี้ ช่อง 3HD กับเรื่องเล่าเช้านี้ โฉมใหม่ กำลังเจอคู่แข่งรอบทิศและในบ้านเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันช่องน้องอย่าง 3SD อาจได้เรตติ้ง และช่วยสกัดไม่ให้ไหลไปช่องอื่น เพราะถึงอย่างไรก็ครอบครัววิก 3 พระราม 4 เดียวกัน เพราะถ้าไม่ปรับตัว อาจแพ้ในเกมเรตติ้งกันหมด ชนิดฟื้นกลับคืนมาได้ยาก