คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสไอโฟน 3G ที่มาแรงทั้งในระดับ Global และ Local ทำให้ผู้ผลิตมือถือค่ายต่างๆ ต้องเตรียมขยับรับน้องใหม่กันพัลวัน
ณัฐวัชร์ วรนพกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอช ที ซี (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงตลาดพีดีเอในปี 2552 ว่าจะมีความคึกคักขึ้นจากการมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาเสริม อาทิ ซัมซุงและแอปเปิล ที่ช่วยขยายตลาดให้มี Awareness มากยิ่งขึ้น
แม้จะถ่อมตัวว่าไม่กล้าแข่งกับแอปเปิล แต่ในฐานะเบอร์หนึ่งของตลาดพีดีเอโฟนเมืองไทยอย่าง HTC ที่ครองมาร์เก็ตแชร์ไว้ได้ถึง 55.5% ในปีที่ผ่านมา ก็เตรียมต่อกรกับไอโฟนด้วยการวางแผนส่งโปรดักส์ลงมาเล่นในตลาดอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 รุ่น จากจำนวน 25 รุ่นที่เปิดตัวในตลาดต่างประเทศ
“การที่เราสามารถครองอันดับ 1 ได้เพราะเรามีสินค้าที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการได้หลาย Segment และเราทุ่มเทพัฒนาเพื่อออกสินค้ารุ่นใหม่เรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นกว่าจะออกสินค้าใหม่ต้องใช้เวลาเป็นปี”
นอกจากนี้เอชทีซียังจับมือกับกูเกิ้ล เตรียมออกมือถือรุ่นใหม่บนระบบปฏิบัติการโอเพนซอส Android หลังจากประสบความสำเร็จกับรุ่น G1 ที่ขายได้มากกว่า 2 ล้านเครื่องทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งพันธมิตรดั้งเดิมอย่างไมโครซอฟท์ด้วยการใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Mobile ที่มีจุดแข็งเรื่องการพัฒนา Application ในโปรดักส์ส่วนใหญ่ของเอชทีซี
สำหรับแผนทางด้านการตลาด เอชทีซีเตรียมอัดงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านบาท เป็น 45 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น เพราะมองว่าเศรษฐกิจปีวัวยังน่าเป็นห่วง
“ถ้าเรานั่งรอลูกค้าอาจจะขายไม่ได้ เราต้องมองหาลูกค้าและเดินออกไปหาลูกค้า งบการตลาดส่วนใหญ่จึงถูกจัดสรรไปทำโปรโมชั่นและทำ Road Show เพื่อสาธิตและขายสินค้าตามออฟฟิตบิวดิ้งที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย”
ขณะเดียวกันเอชทีซีก็เตรียมเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ในการสื่อสารกับลูกค้า ด้วยการจัดทำข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Newsletter) ในหน้าเว็บไซต์เพื่อเพิ่มยอดขาย และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Direct Mail) ที่ส่งตรงถึงฐานลูกค้ากลุ่มเดิมเพื่อเพิ่มความภักดีในแบรนด์
“ช่องทางอีเมลและอีนิวส์เล็ตเตอร์เป็นช่องทางที่ใช้เงินลงทุนน้อยแค่หลักหมื่น แต่ได้ผลมากเพราะส่งข้อความถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง”
แม้ว่าการเปิดตัวของไอโฟนในประเทศไทยจะกระทบกับยอดขายของเอชทีซีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ดูเหมือนเอชทีซีจะประหวั่นพรั่นพรึงกับสภาพเศรษฐกิจที่หดตัวมากกว่า จนต้องตั้งเป้าการเติบโตของตัวเองในปี 52 ให้ต่ำกว่าท้องตลาด เพราะมองว่ามือถือราคาถูกจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
“พีดีเอของเราคงเติบโตที่ 5.59% จากตลาดมือถือโดยรวม 33,000 ล้านบาทที่เติบโต 8% เราประเมินแบบรู้ตัวเอง เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ใครก็ต้องประหยัด”
การมาของไอโฟนจึงได้รับการประเมินว่ามาร์เก็ตแชร์ของเอชทีซีคงลดลง เพราะฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น แต่สิ่งที่กระทบกับผลประกอบการของเอชทีซีโดยตรง กลับเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และไม่แน่ใจว่าจะฟื้นคืนขึ้นมาเมื่อไหร่
“เราขอแค่ให้เศรษฐกิจเติบโตเท่าปีที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถรักษาอัตราการเติบโตของบริษัทไว้ได้เท่าเดิมก็พอแล้ว”
อัตราการเติบโตของตลาดมือถือทั่วโลก
Smart Phone
ปี 2008 26.9%
ปี 2009 8.9%
ปี 2010 24.0%
Traditional Mobile Phone
ปี 2008 4.6%
ปี 2009 3.5%
ปี 2010 5.0%
Total
ปี 2008 7.1%
ปี 2009 -1.9%
ปี 2010 7.7%
ที่มา IDC
Did you know?
อัตราการมีมือถือของคนไทยอยู่ที่ 84.12%