ยิ่งเงินหนา ยิ่งช้อปพรีเซ็นเตอร์ไม่ยั้ง

Nielsen Media Research (ประเทศไทย) เปิดเผยตัวเลข Media Spending ประจำปี 2008 ที่ผ่านมา คือ 89,488 ล้านบาท ติดลบ 2.72% จากปี 2007 ซึ่งอุตสาหกรรมโฆษณามีมูลค่า 92,035 ล้านบาท โดยที่ยูนิลีเวอร์ยังคงครองแชมป์บริษัทที่ใช้เงินสูงสุด ตามมาด้วยพีแอนด์จี ซึ่งจาก 20 อันดับแรก พบว่ามีถึง 16 บริษัท ยกเว้น ปตท. ทรูมูฟ เอไอเอส และดีแทค ต่างใช้พรีเซ็นเตอร์ด้วยกันทั้งสิ้น ขณะที่ 20 อันดับแบรนด์ที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาในปี 2008 สูงสุด พบว่าเกินครึ่งเป็นแบรนด์ใช้พรีเซ็นเตอร์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ

แม้แต่ละแบรนด์จะมีสัดส่วนการใช้เงินที่น้อยลงกว่าปี 2007 แต่การใช้พรีเซ็นเตอร์ยังคงคึกคัก นั่นแสดงว่าแม้ในภาวะวิกฤตพรีเซ็นเตอร์ยังเป็นเส้นเลือดสำคัญที่ทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคและเพิ่มยอดขายได้

ซึ่งเม็ดเงินส่วนใหญ่จะถูกใช้ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ถึงแม้ค่าตัวพรีเซ็นเตอร์จะวิ่งอยู่ที่ตัวเลข 7-8 หลัก แต่เมื่อคิดค่ามีเดียต่อคนดูเรือนล้านแล้วถือว่าคุ้มค่าที่จะจ่าย เป็นหลักร้อยๆ ล้านบาท

13 อันดับ แบรนด์มือเติบ อัดงบโฆษณาร้อยล้าน พ่วงพรีเซ็นเตอร์ (หน่วย : ล้านบาท)
——————————————————————————————
แบรนด์ ปี 2551 ปี 2550 พรีเซ็นเตอร์
——————————————————————————————-
พอนด์ส 644.9 862.4 ชมพู่ อารยา (ปี 51)
โตโยต้า (ปิกอัพ) 586.0 618.5 แอ๊ด ยืนยง โอภากุล (ปี 50)
บรีส 478.8 451.8 เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์ (ปี 51)
โอเลย์ 476.4 606.7 ส่วนใหญ่เซเลบริตี้ เช่น นาตาลี เจียรวนนท์
อีซูซุ (ปิกอัพ) 451.8 385.9 ก๊อท จักรพรรณ์ อาครบุรี / ปีเตอร์ คอรป
ไดเรนดัล / มอส ปฎิภาณ / โดม ปกรณ์ ลัม
(ปี 50-51)
โตโยต้า (รถนั่ง) 443.3 270.1 แอฟ ทักษอร (ปี 51) แพนเค้ก (ปี 50)
M150 429.5 513.7 ตูน บอดี้สแลม แด็กซ์ บิ๊กแอส ปั๊บ โปเต
โต้ ดา เอ็นโดฟิน (ปี 50-51)
การ์นิเย่ 390.8 335.1 แอฟ ทักษอร (ปี 51)
คลีนิค 377.8 446.0 กะลาแมร์ พัชรศรี (ปี 51)
เป๊ปซี่ 372.1 383.4 เป๊ปซี่ แมกซ์ – อนันดา ญารินดา น้อย
วงพรู เทย่า โรเจอร์ เป๊ปซี่-มาริโอ้
(ปี 51)
เบียร์สิงห์ 338.5 211.2 อัสนี วสันต์ (ปี 51)
แบรนด์ 673.2 678.6 โต๋ (ปี 50-51) “แบรนด์ซุปไก่
สกัด” แพท สุธาสินี “แบรนด์รังนก”
ไอ-โมบาย 250 200 หมอโอ๊ค (ปี 50)
บี้ เดอะสตาร์ กอล์ฟ-ไมค์ (ปี 51)
—————————————————————————-
ที่มา: นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช / POSITIONING รวบรวม

เรตติ้งดี ดังเป็นพลุ ค่าตัวยิ่งแพง

ค่าตัว หรือค่าจ้าง “พรีเซ็นเตอร์” สรุปได้ว่า ถ้าอยู่ในวงการมานาน แล้วยังมีงานต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นละคร ร้องเพลง โชว์ตัว พิธีกร แม้จะไม่ถี่มาก แต่มีผลงานออกมา และเรียกกระแสได้ ก็มีอำนาจต่อรอง เรียกค่าตัวได้สูงกว่ากลุ่มดารา นักร้องที่เพิ่งเกิด แม้จะดังเป็นพลุก็ตาม

จากการสอบถามตัวพรีเซ็นเตอร์ ผู้จัดการส่วนตัว และเอเยนซี่ ได้ข้อสรุปจัดกลุ่มค่าตัว “พรีเซ็นเตอร์” คนดังเป็น 6 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มซูเปอร์สตาร์ ดาวค้างฟ้า หลัก 10 ล้านบาทขึ้น
กลุ่มนี้ที่เห็นชัด คือ “พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” ที่ล่าสุดเรียกได้ 20 ล้านบาทจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
2. กลุ่มดารา นักร้อง รุ่นใหญ่ ที่มีอายุในวงการบันเทิงเกิน10 ปีขึ้นไป และมียังคงมีงานอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยรับงานละ 5-6 ล้านบาท เช่น “หมิว ลลิตา” และ “ทาทา ยัง”
3. กลุ่มดารา นักร้อง รุ่นกลาง อายุงานในวงการบันเทิง 5-10 ปี ดังต่อเนื่อง รับ 7 หลัก ระดับ 2 ล้านบาทขึ้นไป เช่น ชมพู่ อารยา
4. กลุ่มดารา นักร้อง รุ่นเล็ก แต่ดังเป็นพลุ รับ 7 หลัก 1-2 ล้านบาท เช่น บี้ เดอะสตาร์ แพนเค้ก
5. กลุ่มพิธีกร ประกาศข่าวเบอร์ 1 ของช่อง รับ 7 หลัก เช่น กาละแมร์ ไก่ มีสุข ช่อง 3
6. กลุ่มพิธีกร ประกาศข่าวเบอร์รอง รับ 6 หลัก เช่น หมวย อริสรา กำธรเจริญ ช่อง 3

Gossip‘s
-เป็นพรีเซ็นเตอร์ยาสระผม หรือครีมนวดผม หากต้องทำสีผม อบไอน้ำให้ผมมีสุขภาพดี ต้องเรียกค่าตัวเพิ่ม
-หาก TVC ออนแอร์หลายประเทศ ค่าตัวก็ต้องเพิ่ม
-หน้าหมวยอินเตอร์ หมดสิทธิ์พรีเซนต์ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เพราะชาตินิยม และขายไม่ได้
-พูดได้หลายภาษา มีโอกาสมากกว่า
-การตัดราคา “ค่าตัว” ระหว่างพรีเซ็นเตอร์ด้วยกันเองเกิดขึ้นเสมอ
-30% ส่วนแบ่งมาตรฐานให้โมเดลลิ่ง นายหน้าจัดหางานให้
-ต้องทดสอบใช้สินค้า เพื่อให้ดูสมจริง
-นอกจากเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วยังต้องทำหน้าที่เป็นคอมเมนเตเตอร์ด้วย ในกรณีที่เป็นสินค้าซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์
-หากยอดขายดีและได้รับการต่อสัญญา พรีเซ็นเตอร์เมืองนอกเมืองนา เขามีการคิดค่าคอมมิชชั่นแม้จะได้ค่าตัวเท่าเดิม แต่เมืองไทยยังไม่เคยปรากฏ
-ลืมไปเลยเรื่องจะให้พรีเซ็นเตอร์ใช้สินค้า แล้วให้ปาปาราซซี่แอบถ่าย เพราะไม่ใช่วิสัยคนไทยที่จะอยากรู้ ถ้าเป็นเรื่องเป้าแหก กระโปรงขาดค่อยว่ากัน