***เคาะชื่อ “ศุภาลัยไอคอน” มิกซ์ยูสกลางสาทร
หลังจากชนะประมูลซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา บนถนนสาทร ราคาตารางวาละ 1.45 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 4,600 กว่าล้านบาท เมื่อเดือนกันยายน 2560
ล่าสุด ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ตั้งชื่อโครงการไว้ว่า “ศุภาลัย ไอคอน” มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 18,000-20,000 ล้านบาท ที่จะมีทั้งคอนโดมิเนียม ออฟฟิศให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีก นอกจากนี้อาจมีพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการด้วย โดยขณะนี้มีผู้สนใจเสนอตัวเข้าร่วมพัฒนาโครงการด้วยหลายราย
“ศุภาลัย ไอคอน เป็นโครงการแฟลกชิปของศุภาลัย มีคอนเซ็ปต์เป็นสถานที่ทั้งสำหรับ Living Dining Working Relaxing Enjoying เป็นโครงการใหญ่ที่สุดของศุภาลัย นอกเหนือจากปีที่แล้วได้ทำสถิติรายได้ยอดขายสูงสุด คือ 30,077 ล้านบาท นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 29 ปี ด้วยแนวทางการบริหารงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยวิธีแบบ Low Risk High Return และมีการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ทั้งรูปแบบโครงการเช่น นอกจากบ้าน คอนโดมิเนียม ยังมีสำนักงานออฟฟิศที่เก็บรายได้ค่าเช่าไม่มีวันหมด เหมือนน้ำซึมบ่อทราย และยังมีแผนการลงทุนต่อเนื่องในต่างประเทศนอกเหนือจากออสเตรเลีย ยังมองลู่ทางในอาเซียนอีกด้วย”
นอกจากนี้ ประทีป ยังอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของความต้องที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคว่าคอนโดมิเนียมตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะความสะดวกสบาย ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนบ้านเดี่ยวยังคงเป็นที่ต้องการของผู้อยู่อาศัยในแถบชานเมือง
ลุยแนวราบ–ขยาย ตจว. จับกลุ่มสูงวัย
ส่วนทางด้านทายาท ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 ทำยอดขายได้ 30,077 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 27% ที่มียอดขาย 24,132 ล้านบาท และเติบโตจากเป้าที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท คิดเป็น 14%
ยอดขายนี้มาจากการเปิดตัว 20 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ (บ้าน ทาวน์เฮาส์) 15 โครงการ 15,337 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ 15,440 ล้านบาท รวม 31,220 ล้านบาท
ส่วนปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 33,000 ล้านบาท และรายได้ 26,000 ล้านบาท เปิดตัว 35 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ งบซื้อที่ดิน 9,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการที่สถานทูตออสเตรเลียเดิมนั้น เป็นแบบมิกซ์ยูส จะเริ่มรับรู้รายได้ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้จะยังขยายโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยวในต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น เชียงราย รวมถึงเตรียมพัฒนาในพื้นที่อีอีซี อย่างชลบุรี ระยอง และมีการพัฒนาแบรนด์ใหม่ ๆ สำหรับบ้านรระดับราคา 8-10 ล้านบาทมากขึ้น
“ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อิทธิพลของโซเชียลมีเดียทำให้มีความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคมากท่ี่สุด เร็วที่สุด รุนแรงที่สุด ทำให้คนมีความสนใจต่างกัน มีมุมที่คนชอบต่างกัน” ไตรเตชะ กล่าว และอธิบายเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมที่ต่างกันทำให้เกิดการแตกเป็นเซ็กเมนต์ต่าง ๆ มากขึ้น เดิมทำสินค้าเพื่อแมสได้ ต่อไปโครงการใหญ่ ๆ อาจเป็นแมสได้ แต่ก็มีสินค้าที่บริการเซ็กเมนต์ที่หลากหลาย เช่น คอนโดมิเนียมสำหรับคนชอบเล่นกีฬา ออกกำลังกาย มีห้องฟิตเนสที่กว้างขึ้น คอนโดมิเนียมสำหรับคนชอบสัตว์เลี้ยง
นอกจากนี้ในส่วนของบ้าน หรือโครงการแนวราบ ศุภาลัยก็เริ่มเน้นจุดขายที่จับกลุ่มลูกค้าสูงวัย ยุคนี้แม้แต่โครงการที่อยู่ศัยก็ต้องออกแบบเพื่อลูกค้าแต่ละเซ็กเมนต์มากขึ้น ไม่ใช่ One size fit all เหมือนที่เคยทำ
ปัจจุบันบ้านระดับ 1.5-3 ล้านบาท มี 30% 3-5 ล้านบาท มี 60% 6-10 ล้านบาท มี 8-10% และมากกว่า 10 ล้านบาท มีไม่ถึง 2%
ส่วนคอนโดมิเนียม ต่ำกว่า 2 ล้านบาท มี 15% 2-3 ล้านบาท 25% 3-5 ล้านบาท 50% 8-10 ล้านบาท 10%
สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้ จะเน้นสื่อออนไลน์ผ่านช่องทาง Facebook, Line, Instagram และเว็บไซต์.
เผยสูตร Low Risk High Return พา “ศุภาลัย” ยอดทะลุ 3 หมื่นล้าน
ทำไมคอนโดยังโต