หัวเว่ย เปิดผลวิจัยประสิทธิภาพการทำงานเทคโนโลยีออลแฟลช สตอเรจ ‘OceanStor Dorado V3’ จากESG Lab เผยการติดตั้ง OceanStor Dorado V3 ดีกว่าระบบไฮบริด 73% ช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) ได้ถึง 75% พร้อมประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 10เท่า บนต้นทุนการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า แต่เสถียรมากกว่า
ดร. จุมพต ภูริทัตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ของสตอเรจที่ทั่วโลกให้ความสนใจตอนนี้คือกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฮาร์ดดิสก์ในรูปแบบจานแม่เหล็ก มาเป็น Solid State แทน ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการดูแลรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รองรับปริมาณ Big data ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมา หัวเว่ยมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสตอเรจมากว่า 15 ปี ซึ่งเป็นพื้นฐานให้ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สตอเรจของหัวเว่ยขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ในจีน และมีอัตราการเติบโตเป็นอันดับ 2 ในตลาดโลก และเมื่อมองในแง่ของการจัดส่งสินค้าสู่ท้องตลาดจะอยู่ในอันดับ 4 ของโลก”
เป้าหมายของหัวเว่ย คือ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะสร้างรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สตอเรจจากนอกประเทศจีน ให้มีสัดส่วนมากขึ้น จากปัจจุบัน รายได้จากนอกจีนอยู่ที่ราว 30% ต่อ 70%
“ในภูมิภาคเอเชียตลาดประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าด้านการเงินการธนาคาร ภาครัฐบาล และภาคธุรกิจ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการบนความปลอดภัย รองรับการประมวลผล และการส่งผ่านข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และต้นทุนในการดูแลรักษาที่ต่ำกว่าเทคโนโลยีที่ใช้งานในปัจจุบัน”
สำหรับกลยุทธ์ในการผลักดันตลาดในไทย หัวเว่ย มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มสถาบันการเงิน,สาธารณูปโภค, ภาครัฐ, ภาคคมนาคมขนส่ง, ผู้ให้บริการดิจิทัล, ภาคการศึกษา และองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ในการดำเนินงาน ตลอดจนช่วยกระตุ้นการปรับธุรกิจรองรับการเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) และสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0
ผู้บริหารหัวเว่ย ระบุต่อว่า จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์สตอเรจของหัวเว่ยอย่างต่อเนื่อง ช่วยยืนยันว่า หัวเว่ยได้รับการยอมรับจากองค์กรธุรกิจทั่วโลก โดยล่าสุด หัวเว่ยยังกลายเป็นผู้นำในการผลิตระบบออลสตอเรจที่มีประสิทธิภาพมากที่สูงสุดในโลก บนพื้นฐานของการออกแบบทั้งระบบตั้งแต่สตอเรจชิป, แฟรตสตอเรจ,อัลกอริทึม และระบบป้องกันความผิดพลาด และยังสามารถลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Total cost of ownership) ซึ่งรวมถึงการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาได้ไม่ต่ำกว่า 50% โดยยืนยันได้จากผลการทดสอบของ ESG Lab ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและทดสอบผลิตภัณฑ์ไอทีชั้นนำระดับโลกของสหรัฐฯ
นายโทนี่ พัลเมอร์ วิศวกรอาวุโส จาก ESG Lab เปิดเผยว่า เทคโนโลยีออลแฟลช สตอเรจกำลังเป็นแนวโน้มสำหรับระบบการจัดเก็บข้อมูลขององค์กร ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณข้อมูล อีกทั้งต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บที่สูงขึ้นกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
“ขณะที่เทคโนโลยีสตอเรจแบบ Solid-State เริ่มได้รับความสนใจพิจารณาเลือกใช้งานในองค์กรมากขึ้นจาก 4 ปัจจัยสำคัญด้านประสิทธิภาพ, ความเสถียรในการทำงาน, ค่าใช้จ่ายต่อการจัดเก็บ รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุน (TCO)”
จากการทดสอบพบว่า Huawei OceanStor Dorado V3 ให้ TCO ต่ำกว่าระบบสตอเรจแบบไฮบริดถึง 73%ทั้งยังมีต้นทุนในการบำรุงรักษาต่ำ และยังมีผลต่อค่าใช้จ่ายของแผนกไอทีที่จะลดลงอีกจากความเสถียรของเทคโนโลยี SSD ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน และประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มกว่าระบบทั่วไปถึง 10 เท่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เทคโนโลยีสตอเรจรูปแบบใหม่ที่ใช้งานเฉพาะ Solid State นั้น ยังเป็นเทคโนโลยีที่มีระดับราคาค่อนข้างสูงกว่าระบบเดิม ดังนั้น ในช่วงแรกองค์กรธุรกิจที่สนใจลงทุนจะต้องเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่เล็งเห็นในแง่การลงทุนที่คุ่มค่าในระยะยาวในแง่ความปลอดภัยของข้อมูล การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และช่วยยกระดับในการเข้าถึงข้อมูลให้เร็วขึ้น
นอกเหนือจากในอุตสาหกรรมการเงิน และการธนาคารที่จะเป็นกลุ่มหลักที่ลงทุนในสตอเรจรูปแบบใหม่แล้ว ก็จะมีในส่วนของผู้ให้บริการโอเปอเรเตอร์, องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่, ภาครัฐ และกลุ่มสื่อที่ต้องการผลักดันคอนเทนต์ในรูปแบบ 4K ที่ต้องการความเร็วในการส่งต่อข้อมูล