อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลพังหมื่นล้าน หลัง กสทช.ยอมถอยเลื่อนค่าใบอนุญาต 3 ปี จับตาเป็นช่วงต่อเวลายื้อชีวิตทีวีดิจิทัลหรือเป็นแค่ใบเบิกทางเพื่อล้มอุตสาหกรรม ชี้ “เจ๊ติ๋ม” จุดไฟทีวีดิจิทัล ควรมี 10 ช่องกำลังดี เหตุผู้ชมเปลี่ยนพฤติกรรม ออนไลน์ตีหลังบ้านยึดเวลาแทน ลุ้น 6 ช่องปี 61 นี้มีกำไร
ความผิดพลาดของการคุมกฎ กับบทบาทการทำงานของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เข้ามากำกับดูแลอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เริ่มปรากฏคลื่นความเสียหาย 2 ลูกติดต่อกันต่ออุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลภายในอาทิตย์เดียว
คลื่นลูกแรกคือ การที่ศาลปกครองกลางพิพากษา (เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561) ว่าการที่ กสทช.ไม่สามารถดำเนินการให้ผู้ได้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินได้ระบบดิจิทัลให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศให้แล้วเสร็จก่อนจัดการประมูลคลื่นความถี่ เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล เป็นเหตุให้บริษัทไทยทีวีฯ เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ตามประกาศสำนักงาน กสทช. และเป็นผู้ชนะประมูลและได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ประกอบกิจการ
โทรทัศน์ 2 ช่องคือ ไทยทีวี และโลก้า ไม่สามารถถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลได้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ตามประกาศเชิญชวนของสำนักงาน กสทช. และตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ เมื่อ กสทช.และสำนักงาน กสทช.ไม่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ตามกฎหมาย บริษัทไทยทีวีจึงมีสิทธิบอกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ทั้งสองช่องรายการ
กสทช.กระทำผิดจริงต่อสัญญาที่ได้ประกาศชี้ชวนไว้กับบริษัท ไทยทีวี จำกัด ดังนั้น บริษัท ไทยทีวี จำกัด จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ทั้งนี้ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ กสทช.คืนเงินแบงก์การันตีกว่า 1,500 ล้านบาทแก่ทางไทยทีวี ซึ่งเป็นของ “เจ๊ติ๋ม” หรือ นางพันธุ์ทิพา ศกุนต์ไชย
คลื่นแรกที่กระแทกเกิดความโกลาหลนี้ ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลยังไม่หมดไป เพราะอีก 2 วันต่อมาคลื่นลูกที่สองก็เกิดขึ้น
จากการที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เชิญผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หารือแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว
การประชุมในวันนั้นมีผลสรุปว่า ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันในมาตรการให้พักชำระหนี้ ภายในเวลา 3 ปี โดยผู้ที่จะยื่นเรื่องพักชำระหนี้ จะต้องยื่นกับคณะกรรมการ กสทช. ภายใน 30 วัน เเละต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
รวมทั้งยังให้มีการ ลดค่าเช่าโครงข่าย (มัค) ลงอีกจำนวน 50% จากจำนวนเดิม เป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ คสช.ออกคำสั่งตามมาตรา 44
ทั้งนี้น่าจับตามองว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นการยื้อชีวิตทีวีดิจิทัลให้ออกไปอีกระยะหนึ่ง หรือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อีกหลายช่องต้องถอนตัว
***ทีวีดิจิทัลพังหมื่นล.
เขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น จากความผิดพลาดในการทำงานและการมองสถานการณ์อุตสหกรรมทีวีดิจิทัลผิดไปของทาง กสทช.ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าจะมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท เพราะเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล แต่รายได้หรือผลตอบแทนกลับมามีเพียงน้อยนิดและยังขาดทุนอยู่ ในทุกส่วนที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ผู้ผลิตคอนเทนต์ รวมถึงผู้ให้บริการโครงข่าย และเม็ดเงินที่เสียเปล่าจากกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลที่ไม่ได้นำมาใช้งานจริงแต่อย่างใด
“ความสูญเสียตลอด 4 ปีนี้มีสูงมาก เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมหาศาล แต่รายได้ที่รีเทิร์นกลับมา หรือการคืนทุนในแบบระยะสั้นไม่สามารถทำได้ สุดท้ายทางออกจึงมีเพียง 2ทาง คือ การขอคืนใบอนุญาต และยกเลิกสัญญา ซึ่งเฉพาะการลงทุนโครงข่ายนั้นมีไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อราย จากทั้งหมด 3 รายก็ร่วม 3,000 ล้านบาทแล้ว ยังไม่รวมถึงกลุ่มช่องทีวีที่ลงทุนไป หรือแม้แต่กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลที่ กสทช.แจกออกไป แต่ไม่สามารถถูกใช้งานได้จริง เพราะไม่สามารถรับสัญญาณได้ อีกทั้งประชาชนขาดความสนใจ และเลือกดูผ่านเคเบิลทีวีเป็นหลัก”
ทั้งนี้จากมาตรการที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลพักชำระหนี้ค่าใบอนุญาตภายในเวลา 3 ปีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทีวีดิจิทัลโดยรวม เพราะผู้ประกอบการจะได้หายใจคล่องขึ้น ในการนำเงินนั้นไปพัฒนาคอนเทนต์และดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น ซึ่งพอที่จะช่วยให้เกิดรายได้ที่ดีตามมา
นอกจากนี้ยังมองว่าผลทางอ้อมจะทำให้เม็ดเงินโฆษณาในสื่อทีวีดีขึ้นเช่นกัน เพราะหากคอนเทนต์ดี มีเรตติ้ง ลูกค้าก็พร้อมใช้เงินซื้อโฆษณา ที่สำคัญเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลได้คิดและตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไปในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งอาจจะเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่างสำหรับผู้ประกอบการอีกหลายช่องที่จะทำตามเพราะไปไม่ไหวก็ได้ ด้วยการฟ้องและหวังชนะคดี
“การพักชำระหนี้ 3 ปี ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในแง่ที่ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนมากเกินไป และทำให้ผู้ประกอบการได้มองเห็นว่าหลังจากนี้ควรจะหยุดหรือจะไปต่อ ซึ่งหากมองในภาพรวมแล้ว จำนวนช่องที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 10-15 ช่อง จากทั้งหมด 24 ช่องที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากออนไลน์เข้ามา และผู้ชมไม่ได้ดูจากจอทีวีเป็นหลักอีกต่อไป ซึ่งคงไม่สามารถตอบได้ว่าช่องใดจะหายไป ขึ้นอยู่กับความสามารถและการตัดสินใจของแต่ละช่องเป็นหลัก”
ในฐานะที่ อสมท เป็นผู้ให้บริการโครงข่าย อยากให้ทาง กสทช.ทบทวนถึงค่ามัคหรือลดค่าเช่าโครงข่ายลง 50% เป็นเวลา 2 ปี จะให้เริ่มนับจากช่วงใด และผู้ให้บริการมัคจะเสียโอกาส หรือผู้ประกอบการจะรับภาระเพิ่มหรือไม่หากประกาศดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปยังไม่สามารถประกาศใช้ได้จริง
*** ลุ้นทีวีดิจิทัล 6 ช่องหลักปีนี้ (61) มีกำไร
ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร ช่องเวิร์คพอยท์ทีวี กล่าวว่า สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะมีช่องที่ถอยออกไปมากน้อยเพียงใด เพราะส่วนใหญ่มีนายทุนเข้ามาช่วยแล้ว อีกทั้งการจ่ายค่าใบอนุญาตก็เหลือไม่กี่ปี แต่หากมองในภาพปี 2561 นี้ เชื่อว่า 6 ช่องหลักจะมีกำไร ซึ่งเกิดจากการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นจากการเรียนรู้ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละช่องจะพัฒนานำเสนอคอนเทนต์ที่ดีออกมา
“สุดท้ายทีวีดิจิทัลจะออกมาเป็นอย่างไรจีงยังไม่สามารถตอบได้ จากความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้ประกอบการยังคงเดินหน้าได้ทุกช่องหรือไม่ หรือจะมีถอนตัวออกไปกี่ราย ขึ้นอยู่กับแนวทางและความสามารถในการดำเนินธุรกิจของแต่ละช่องเป็นหลัก แต่เชื่อว่าทั้งอุตสาหกรรม ปีนี้ 6ช่องหลักจะดีขึ้นเริ่มเห็นกำไร”
ทางด้าน สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 กล่าวว่า การเปิดโอกาสให้พักชำระหนี้ค่าใบอนุญาต เป็นเวลา 3 ปี หรือถ้าไม่ต้องจ่ายส่วนที่เหลือจะทำให้ผู้ประกอบการทีวีมีพลังสู้ต่อได้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้คนที่เหลืออยู่ก็จะลำบาก โดยมองว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการไม่ได้ผิดและไม่ควรแบกรับอยู่เพียงฝ่ายเดียว
การดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลต้องมองแบบระยะยาว แต่ละช่องประสบความสำเร็จไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขัน และมองว่าฟรีทีวีเชิงพาณิชย์ในไทยมีเพียง 10 ช่องก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะการแข่งขันจากจำนวนช่องที่มากเกินไป ไม่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม เพราะต้นทุนคอนเทนต์สูง แต่กลับเข้าถึงคนดูได้น้อย เพราะผู้ชมมีทางเลือกมากขึ้น รายได้คืนกลับมาจึงน้อยตาม
สุวิทย์ มิ่งมล ประธานสหภาพ บมจ. อสมท กล่าวว่า กรณีนี้จะทำให้มีทีวีดิจิทัลอีกหลายช่องที่ไปไม่ไหวอาจจะแห่กันยกเลิกไลเซนส์ก็ได้ ด้วยการทำตามแนวททางที่ไทยทีวีชนะคดี
รายงานจากบริษัท นีลเส็น ประเทศไทย ระบุว่า งบโฆษณาเดือนกุมภาพันธ์ปี2561 มีมูลค่า 7,747 ล้านบาท ลดลง 5% จากเดือนเดียวกันปี 60 ขณะที่งบโฆษณาสื่อทีวีดิจิทัล มีมูลค่า 2,049 ล้านบาท เพิ่ม 18% จากเดิมที่มี 1,734 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21% ของสื่อโฆษณาทั้งหมด เป็นอันดับที่สองรองจากฟรีทีวี ขณะที่สองเดือนแรกปี 61 มีมูลค่าตลาดรวม 15,186 ล้านบาท ตกลง 7% จากเดิมที่มีมูลค่า 16,356 ล้านบาท โดยสื่อทีวีดิจิทัลมีมูลค่า 3,871 ล้านบาท เพิ่ม 16% จากเดิมที่มีมูลค่า 3,316 ล้านบาท.
ที่มา : mgronline.com/business/photo-gallery/9610000027013