ชั่วโมงนี้ ต้องเรียกว่าเป็น “บุพเพฯ อาละวาด” กันแล้ว เพราะละครเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ดึงเรตติ้งในช่วงวันออกอากาศ แต่ลามไปถึงทุกวันช่วงเวลาหลังข่าวที่เป็นเวลาทองของบรรดาทีวีดิจิทัลแล้ว คราวนี้กระทบกับช่อง 7 แชมป์เรตติ้งตลอดกาลเข้าแล้ว
เมื่อเรตติ้งของสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 26 มี.ค.- 1 เม.ย. 61 วัดจากฐานผู้ชมทั่วประเทศ อายุ 4 + พบว่า ช่อง 3 เป็นแชมป์เรตติ้งได้เป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้ว เริ่มทิ้งห่างช่อง 7 ไปเรื่อยๆ โดยได้เรตติ้งสูงถึง 2.044 ในขณะที่ช่อง 7 อยู่ที่ 1.745
เรตติ้งประจำสัปดาห์สะท้อนให้เห็นความแรงของชุดละครช่อง 3 ทั้งแผง ที่สามารถเอาชนะช่อง 7 ได้เบ็ดเสร็จโดยเรตติ้งละครช่วงหลังข่าวของช่อง 7 ทั้ง 3 เรื่อง แพ้ละครช่อง 3 ทั้ง 7 วันติดกันทั้งสัปดาห์ ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเมื่อครั้งก่อนมีทีวีดิจิทัลด้วยเช่นกัน
กระแสความแรงของออเจ้า ส่งผลให้ผู้ชมเข้ามารับชมรายการช่อง 3 มากขึ้น ช่วงแรกของกระแส “บุพเพฯ สันนิวาส” ก็มีเพียงแค่วันที่บุพเพฯ ออกอากาศ ในวันพุธ พฤหัส เท่านั้น แต่ในสัปดาห์ที่แล้ว กลับกลายเป็นว่าละครช่อง 3 แรงทุกวัน ตั้งแต่ละครใหม่ออกอากาศตอนแรก “คมแฝก” ในวันจันทร์–อังคาร ชนกับละครดราม่า “เสน่หามายา” ช่อง 7 และละครที่กำลังจะจบ “เด็ดปีกนางฟ้า” ช่อง 3 เจอกับละครโรเมนติกพ่อแง่แม่งอน พีเรียด “สกาวเดือน” ช่อง 7 ในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
หากดูรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดของทั้งสัปดาห์ 5 อันดับแรกของทุกช่อง ช่อง 3 กวาดหมดทั้ง 5 อันดับเช่นกัน ตั้งแต่ บุพเพสันนิวาส, รายการข่าวบันเทิง “สีสันบันเทิง”, ละครเย็น “คุณแม่สวมรอย”, คมแฝก และ เด็ดปีกนางฟ้า ไม่เหลือที่ว่างให้ช่อง 7 และช่องอื่นๆ เลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น ละครเย็นก่อนข่าว “คุณแม่สวมรอย” ช่อง 3 ที่จบลงไปแล้ว ก็ทำเรตติ้งชนะ “เขยผู้ใหญ่ สะใภ้กำนัน” ช่อง 7 ในช่วง 1 สัปดาห์สุดท้ายก่อนจบ เป็นอีกช่วงเวลาละครที่ทั้ง 2 ช่องต้องสู้กันอย่างหนักเช่นกัน
ช่วงละครเย็น ช่อง 3 เปิดละครใหม่ก่อน ด้วยละครแนวแฟนตาซี “Mr Merman แฟนฉันเป็นเงือก” ในขณะที่ช่อง 7 เตรียมส่งละครโรแมนติกคอมเมดี้ “ถิ่นผู้ดี” ลงจอ
ช่อง 7 สถานการณ์ลำบาก
ก่อนหน้ามีทีวีดิจิทัล ในปี 2557 บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์ และวิทยุจำกัด หรือ ช่อง 7 มีรายได้สูงถึง 10,428 ล้านบาท กำไร 5,510 พันล้านบาท และค่อยๆ ลดลงหลังจากมีทีวีดิจิทัล โดยในปี 2558 มีรายได้ 7,189 ล้านบาท กำไรลดลงเหลือ 2,723 ล้านบาท และปี 2559 มีรายได้ 5,825 ล้านบาท กำไรลดลงอีกอยู่ที่ 1,567ล้านบาท
เมื่อมีผู้เล่นในตลาดทีวีดิจิทัลมากขึ้น สภาพตลาดจึงมีการแข่งขันสูง รายได้ของช่องหลักดั้งเดิมจึงค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ช่องใหม่ๆ เข้ามาช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์ได้มากขึ้น
สถานการณ์ของช่อง 7 ยามนี้ คล้ายๆ กับสถานการณ์ของช่อง 3 เมื่อครึ่งแรกของปีที่แล้ว ที่กำลังโดนเวิร์คพอยท์ชิงเรตติ้ง
ด้วยกระแสความร้อนแรงของละครเรื่องนี้ ถึงแม้จะผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว แต่กระแสก็ยังไม่ตก ช่อง 7 จึงกลายเป็นช่องหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคู่แข่งตลอดกาลอย่างช่อง 3 ที่ยังไม่เคยทำเรตติ้งทั่วประเทศเอาชนะช่อง 7 ได้มาก่อน แต่วันนี้เอาชนะแบบขาดลอย
อย่าวาแต่ช่อง 7 ที่ไม่ทันตั้งตัว ช่อง 3 เองก็ไม่คาดคิดมาก่อน กระแสของบุพเพฯ จะดังสะท้านเมืองขนาดนี้
เปิดทางหาผู้ผลิตเพิ่ม
ช่อง 7 เพิ่งเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ จาก พลากร สมสุวรรณ มาเป็น สมเกียรติ เจริญภิญโญยิ่ง ที่เติบโตมาจากสายงานข่าวตลอดชีวิต ถึงแม้จะไม่ถนัดแนวการทำละคร แต่ก็มีคณะกรรมการพิจารณาละครของช่องทำหน้าที่ในส่วนนี้อยู่แล้ว
ละครคือเส้นเลือดใหญ่ที่สร้างรายได้ให้ช่องมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับช่อง 3 แตกต่างกันเพียงฐานผู้ชม ที่ช่อง 7 มีฐานคนดูระดับแมสทั่วประเทศ ในขณะที่ช่อง 3 คือกลุ่มคนเมืองที่มีกำลังซื้อสูง
แนวละครของช่อง 7 จึงเป็นละครที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วทุกหัวระแหงรับชมได้ มีกลิ่นอายความเป็นชาวบ้าน ลูกทุ่ง ชนบท ไม่จำเป็นต้องไปเน้นเรื่องราวของภาพสวย โปรดักชั่นเลิศ เหมือนช่องอื่นๆ โดยมีละครบู๊เป็นหนึ่งในแนวละครซิกเนเจอร์ของช่อง 7
ช่อง 7 มีผู้ผลิตละครให้มากกว่า 30 รายที่รับงานช่องสม่ำเสมอ แต่ละรายจะได้ผลิตละครมากกว่า 1 เรื่องต่อปี มีค่ายใหญ่ๆ เช่น ดาราวิดีโอ, พอดีคำ, กันตนา ที่รับงานผลิตให้ช่องมาอย่างยาวนาน
มีรายงานข่าวว่า ช่อง 7 ต้องเปิดรับผู้ผลิตละครหน้าใหม่ๆ เข้ามาเสริมทีม เพื่อมองหารูปแบบความแปลกใหม่เข้ามาในการผลิตละครให้ช่องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยละครที่เตรียมไว้ในแผนที่วางไว้ ช่อง 7 ก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับได้ทันทีที่กระแสบุพเพฯ จบลง
สมรภูมิชิงผู้ชม ครั้งนี้สนุกแน่.