กรุงเทพฯ เนื้อหอม ติดอันดับ 10 บริษัทใหญ่จีนเปิดธุรกิจมากที่สุด

จีน กำลังมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์การเมืองโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทต่างๆ ของจีนก็ขยายธุรกิจออกไปยังทั่วโลกมากขึ้นด้วย

กรุงเทพฯ ได้รับการจัดให้เป็นเมืองที่บริษัทรายใหญ่ของจีนเข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก และเช่าใช้พื้นที่สำนักงานมากที่สุดเป็นอันดับ 3

ตามรายงานการวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอลมีชื่อว่า China12: China’s Cities Go Global ซึ่งวิเคราะห์ 12 หัวเมืองบนแผ่นดินใหญ่ของจีน (China12) ถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและการปฏิสัมพันธ์กับส่วนอื่นของโลก รวมถึงการศึกษาองค์กร/บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนและอิทธิพลที่กลุ่มบริษัทเหล่านี้มีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างแดน

เจรามี เคลลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเจแอลแอลทั่วโลก กล่าวว่า  ด้วยความมุ่งหวังที่จะเติบโต ทำให้มีบริษัทจีนจำนวนมาก ทั้งที่เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมานานแล้วและที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ได้ขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัทรายใหญ่ของจีนหลายแห่ง เป็นผู้บุกเบิกขยายธุรกิจออกไปในต่างแดนและกลายเป็นแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลกในด้านนวัตกรรม เช่น ไป๋ตู้ (Baidu) อาลีบาบา (Alibaba) และ เทนเซ็นต์ (Tencent, เจ้าของ  WeChat) อยู่บนสังเวียนการแข่งขันกับกูเกิ้ล (Google) อเมซอน (Amazon) และเฟซบุ๊ก (Facebook) ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านฮาร์ดแวร์ของจีน ดังเช่น หัวเว่ย (Huawei) แซตทีอี (ZTE) และเลอโนโว (Lenovo) เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่มีการขยายธุรกิจออกไปทั่วโลก

ในบรรดาเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่บริษัทจีนขยายเข้าไปทำธุรกิจ มีหลายๆ เมืองของเอเชียที่เป็นเป้าหมายสำคัญ อาทิ สิงคโปร์ โตเกียว โซล จาการ์ตา กรุงเทพฯ และกรุงเดลี

สิงคโปร์

เป็นเมืองอันดับหนึ่งที่มีบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ขยายเข้าไปเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุดในโลก เนื่องจากสิงคโปร์เป็นแหล่งธุรกิจที่มีเสถียรภาพและความโปร่งใสสูงสุดในเอเชีย และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับจีน และมีชัยภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กรุงโตเกียว

ของญี่ปุ่นตามมาในอันดับที่ 2 และกรุงโซลของเกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทใหญ่ของจีนจำนวนมากต้องการเปิดดำเนินธุรกิจในเมืองหน้าด่านและศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก

ส่วนจาการ์ตาอยู่ในอันดับที่ 6 และ กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 10 เนื่องจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคสำคัญที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนต้องการขยายเข้าไปทำธุรกิจมากที่สุด ส่วนกรุงเดลีของอินเดียตามมาในอันดับที่ 13 เนื่องจากเป็นเมืองหลวงที่มีประชากรมากกว่าพันล้าน

การขยายธุรกิจเข้าไปในเมืองเหล่านี้ เพราะเป็นตลาดที่มีการเติบโต ช่วยให้บริษัทจีนเข้าถึงฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ของเอเชีย ซึ่งประกอบด้วยเป็นกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากและกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

โดยมีบริษัทชั้นนำของจีนจำนวนมากที่แสดงความสนใจในธุรกิจสตาร์ทอัพของอินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรือง ดังจะเห็นได้จากการมีบริษัทจีนจำนวนมากในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมอร์สและสินค้าอุปโภคประเภทอีเล็กทรอนิกส์ เข้าไปมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงในประเทศเหล่านี้บางประเทศ

ในอนาคตอันใกล้ การขยายธุรกิจของบริษัทจีน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองเหล่านี้ ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการสำหรับพื้นที่สำนักงาน/สถานประกอบการ และเงินทุนไหลเวียนในภูมิภาค

หลายๆ เมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านสาธารณูปโภคอันเกี่ยวเนื่องกับยุทธศาสตร์ของจีนที่เรียกว่า ‘ความริเริ่มแถบเศรษฐกิจและเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI)’ ซึ่งจะช่วยสร้างงานและหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน คาดว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ของจีนจะเปลี่ยนวิถีชีวิตการอยู่อาศัยและการทำงานของผู้คนในเมืองเหล่านี้.