ปิดดีลยักษ์ T-Mobile ซื้อกิจการ Sprint มูลค่า 2.6 หมื่นล้าน รวบตึงลูกค้า 130 ล้านรายเตรียมบุก 5G

“ทีโมบาย” (T-Mobile) บริษัทโทรคมนาคมจากสหรัฐฯ ตกลงซื้อกิจการคู่แข่ง “สปรินท์” (Sprint) ภายใต้ดีลมูลค่า 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นควบรวมโอเปอเรเตอร์อันดับ 3 และ 4 เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการแข่งขันบนฐานลูกค้ารวม 130 ล้านราย

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้คาดว่าจะจุดกระแสให้มีการตรวจสอบกฎระเบียบเข้ม ว่าจะมีผลกระทบกับราคาค่าใช้บริการของลูกค้าอย่างไรในอนาคต

*** รวมกันเพื่อลุย 5G

จอห์น เลกจิเออร์ (John Legere) บอสใหญ่ T-Mobile ประกาศด้วยความมั่นใจว่า บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ดีลนี้จะใช้เเงินลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญในการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 5G ต่อเนื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยยืนยันว่าทั้ง 2 บริษัทจะสร้างเครือข่ายโมบายเน็ตเวิร์กที่มีความจุสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ด้วยกัน

ผมกำลังพูดถึง capacity ที่เหนือกว่า 30 เท่าของ capacity T-Mobile ในวันนี้

ผู้บริหาร T-Mobile ระบุในทวีตของตัวเอง

สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่าการร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจานานหลายเดือนระหว่างผู้ถือหุ้น T-Mobile, ดอยช์เทเลคอม (Deutsche Telekom) และซอฟต์แบงก์ (SoftBank) ของญี่ปุ่นซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน Sprint ภายใต้ข้อตกลงนี้ Deutsche Telekom จะเป็นเจ้าของหุ้น 42% ของบริษัทใหม่ที่รวมกิจการแล้ว พร้อมกับได้สิทธิ์ควบคุมกรรมการบริหาร และขณะที่ Softbank จะถือหุ้น 27%

Legere จะเป็นผู้นำในบริษัทใหม่ซึ่งจะใช้ชื่อ T-Mobile เช่นเดิม และมูลค่าตลาดบริษัทใหม่จะอยู่ที่ราว 146,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

นักวิเคราะห์มั่นใจว่าการรวมตัวของ T-Mobile และ Sprint จะทำให้ทั้งคู่มีอิทธิพลมากขึ้นในการแข่งขันกับโอเปอเรเตอร์เบอร์ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ ได้แก่ เวอริซอน (Verizon) และเอทีแอนด์ที (AT&T) ซึ่งทั้งคู่มีลูกค้ามากกว่า 100 ล้านราย

ทั้ง 2 บริษัทเชื่อว่าดีลนี้จะทำให้บริษัทมีทางรอดที่ดีกว่าในวันที่อเมริกาเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5G ซึ่งหากไม่มี T-Mobile โอเปอเรเตอร์เบอร์เล็กกว่าอย่าง Sprint อาจจะขาดฐานตลาดที่จำเป็น ที่ทำให้การอัปเกรดเครือข่ายเกิดขึ้นอย่างคุ้มทุน

ปัจจุบัน Sprint เป็นผู้ให้บริการโมบายบรอดแบนด์รายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ

*** กังวลเรื่องผูกขาด

Sprint และ T-Mobile มีข่าวมานานเรื่องการควบรวมกิจการตั้งแต่ปี 2014 สมัยรัฐบาลโอบามานั้นมีข่าวลือว่าดีลยักษ์นี้ถูกล้มไปเพราะความกังวลเรื่องการแข่งขันไม่เป็นธรรม

มาวันนี้สหรัฐฯ อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ แน่นอนว่าการประกาศดีลนี้ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลหลายส่วนเร่งมือตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับดีล โดยเฉพาะแนวโน้มการมัดมือขึ้นราคาค่าบริการ ซึ่งล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ก็กำลังพยายามระงับข้อตกลงของ AT&T เพื่อซื้อสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างไทม์วอร์เนอร์ (Time Warner) มูลค่า 85,000 ล้านเหรียญ บนข้อสันนิษฐานว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบ

กรณีของ Sprint และ T-Mobile ผู้บริหารยืนยันว่าการควบรวมกิจการจะช่วยลดราคาและช่วยให้สหรัฐฯ เร่งพัฒนา 5G ได้เร็วขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน ประเด็นนี้เป็นปัจจัยที่นักวิเคราะห์กล่าวว่าอาจช่วยให้ผู้มีอำนาจในรัฐบาลทรัมป์ไม่เข้ามาแซงแทรกก็ได้

ปัจจุบัน Sprint เป็นผู้ให้บริการโมบายบรอดแบนด์รายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ นักวิเคราะห์มั่นใจว่าการรวมตัวของ T-Mobile และ Sprint จะทำให้ทั้งคู่มีอิทธิพลมากขึ้นในการแข่งขันกับโอเปอเรเตอร์เบอร์ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ ได้แก่ เวอริซอน (Verizon) และเอทีแอนด์ที (AT&T) ซึ่งทั้งคู่มีลูกค้ามากกว่า 100 ล้านราย

ทั้ง 2 บริษัทเชื่อว่าดีลนี้จะทำให้บริษัทมีทางรอดที่ดีกว่าในวันที่อเมริกาเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5G ซึ่งหากไม่มี T-Mobile โอเปอเรเตอร์เบอร์เล็กกว่าอย่าง Sprint อาจจะขาดฐานตลาดที่จำเป็น ที่ทำให้การอัปเกรดเครือข่ายเกิดขึ้นอย่างคุ้มทุน. 

Source