พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ! The Big Brothers

ในห้วงเวลานี้ ผู้สันทัดกรณีในแวดวงการเมืองต่างก็ทราบกันดีว่า “พลังสีเขียว” นั้นมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสงครามรบพุ่งทางการเมืองที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และรัฐบาลที่จะสามารถบริหารอย่างไร้กังวล ทั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่างก็นั่งควบในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยกันทั้งคู่ เนื่องจากมีบทเรียนครั้งสำคัญจากการรัฐประหารเมื่อ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 การจับตาดูความเคลื่อนไหวภายในกรมกองเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

แต่บทบาทของทั้งคู่ ก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ได้รับ แต่ในเชิงพลังอำนาจที่แท้จริงแล้วนั้น เมื่อเทียบกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กระทรวงกลาโหมแล้ว ก็พบว่าพลังอำนาจบนตำแหน่งเดียวกันกลับต่างกันลึกลับ บุคคลทั้งคู่ไม่อาจเทียบได้เลยกับ “บิ๊กป้อม” ผู้นี้ เนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเหนียวแน่นกับ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ในฐานะน้องรักที่เติบโตกันมาในเส้นทาง กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ในฐานะทหารเสือราชินี และ “พยัคฆ์ร้ายแห่งบูรพาทัพ”ได้

นอกจากนี้ พล.อ.อนุพงษ์ที่ รมว.กลาโหมมีความสนิทชิดเชื้อเท่านั้น แต่น้องรักอีกคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก ก็เติบโตในเส้นทางเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน

และเมื่อรวมกับพี่น้องร่วมสายเลือดอย่าง “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ทำให้เห็นภาพของความมั่นคงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังรวมถึงเหล่ามิตรสหายนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 6 ที่ล้วนแล้วแต่รักใคร่ในตัวพล.อ.ประวิตรอย่างมาก เนื่องจากตำแหน่งประธาน ตท.6 ที่เขาผู้นี้ครองมาอย่างยาวนาน แม้ในยามที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่าง “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน อดีต ผบ.ทบ. จะมีอำนาจสูงสุดเมื่อครั้งก่อการรัฐประหารก็ตาม

ขุมกำลังในฝ่ายความมั่นคงที่พล.อ.ประวิตรมีอยู่นั้นย่อมการันตีได้ถึงความมั่นคงและมีเสถียรภาพทางการเมืองได้ทั้งปัจจุบันกาลและอนาคตกาลได้เป็นอย่างดี หากเขาคิดการณ์ใหญ่และต้องการที่จะเป็นมากกว่ารัฐมนตรี

ด้วยแรงหนุนจากฝ่ายพลังสีเขียวที่ค่อนข้างฉายชัด ส่งผลให้พลังอำนาจอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อการเข้าสู่อำนาจรัฐ ต่างก็วิ่งเข้าหาทั้งพลังทางการเมืองและทุนอันเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานการเมือง

เนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทย “พรรคการเมืองสีน้ำเงิน” เป็นขุมพลังทางการเมืองที่เห็นถึงพลังความมั่นคง ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งด้วย ส.ส.ในมือกว่า 30 ชีวิต พร้อมด้วยทุนจากห้างค้าปลอดภาษีคนสำคัญ รวมถึงการประสานแรงหนุนจากอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอีกหลายต่อหลายคน ที่พรั่งพร้อมด้วยเครือข่ายทางการเมืองและทุน
อาทิ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรือกระทั่ง คุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ก็มีความสนิทชิดเชื้อกันไม่น้อย

ขณะที่ ทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานการเมืองนั้น พล.อ.ประวิตรก็ได้รับแรงหนุนจากหลายฝ่ายผ่านเครือข่าย “เซนต์คาเบรียล คอนเนกชั่น” ทั้งปัฐวาท สุขศรีวงศ์ “บิ๊กคอมลิงค์” ก็พร้อมที่จะเป็นแรงหนุนให้เพื่อนคนนี้อย่างเต็มที่ พร้อมด้วยสหายจากที่ร่วมงานกันใน “มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด” ภายในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ที่มีเขาเป็นประธานมูลนิธิและมี พล.อ.พัฒฑะนะ พุฑานานนท์ อดีต รอง ผบ.ทบ. และประธานกรรมการ บริษัท เบียร์ทิพย์ เป็นรองประธาน และมีกรรมการมูลนิธิอย่างจรูญ จันทร์จำรัสแสง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสายทหาร สถิตย์ สวินทร์ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นต้น

นอกจากนี้ เขายังมีความสนิทสนมกับมือเศรษฐกิจระดับพระกาฬ อย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.การคลังที่เป็นเพื่อนร่วมสถาบันและยังเป็นรองประธานในมูลนิธิดังกล่าวด้วย

ที่สำคัญ “กลุ่มรักษ์สยาม” ที่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเป็นแกนนำกลุ่มบุคคลที่ถือว่าเป็นมันสมองของประเทศ ที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศว่ากลุ่มดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่อิงการเมือง แต่เมื่อพิศดูรายชื่อนั้นล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง อาทิ ดร.ประวิช รัตนเพียร อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.ปานปรีย์ พหิธนานุกร อดีตผู้แทนการค้าสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มันสมองของพรรคเพื่อไทย

รวมถึง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ หนึ่งในทีมทำงานของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รวมถึงนักวิชาการคนสำคัญๆ อย่าง ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ “วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ” โหร คมช.เคยพยากรณ์ไว้ว่า พล.อ.ประวิตรอาจเป็นใหญ่ถึงขั้นนายกรัฐมนตรี ว่า

“พล.อ.ประวิตร เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีบุญบารมีเป็นถึงนายกฯ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ ต้องรอเวลาอีกสักนิด ถ้าถึงเวลาของท่าน ท่านจะได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ”

ไม่ว่าโหรจะพยากรณ์ไว้เช่นไร แต่ด้วยด้วยขุมกำลังที่มีอยู่นั้น ก็ยากที่จะปฏิเสธถึงความแข็งแกร่งที่มีพล.อ.ประวิตรเป็นจุดศูนย์กลางที่มีของขั้วอำนาจใหม่ที่เกิดขึ้น จาก “พลังสีเขียวแกมสีน้ำเงิน” และ พล.อ.ประวิตร จึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนสำคัญที่น่าจับตามากที่สุดในขณะนี้…

Profile

Name : พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
Age : 65 ปี
Education :
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 ประธานรุ่นจนถึงปัจจุบัน
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 56
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 40
Career Highlights :
ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
นายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
ประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์
ผู้บังคับการกรมทหาราบที่ 12 รักษาพระองค์
รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
ผู้บัญชาการกองพลทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์
แม่ทัพน้อยที่ 1
ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ
แม่ทัพภาคที่ 1
ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
ผู้บัญชาการทหารบก
ประธานมูลนิธิอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าบริเวณพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด (ภาคตะวันออก) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
Status : โสด มีน้องชาย 4 คน หนึ่งในนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ