ถึงยุค "เหลิม" จอมแฉ Dead Man Walking

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีตสารวัตรมือปราบที่ผันตัวเองเข้าสนามการเมืองด้วยการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และได้แยกตัวมาก่อตั้งพรรคมวลชน พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในปี พ.ศ. 2529 ซึ่งขณะนั้นพื้นที่ กทม.ฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะเขตภาษีเจริญและบางบอน ถือเป็นเขตที่แทบจะเรียกได้ว่าผูกขาดตำแหน่ง ส.ส.ของอดีตนายตำรวจผู้นี้

ด้วยการที่เคยสังกัดพรรคแม่ธรณีบีบมวยผมมาก่อน ผสานการทำงานจากสายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ การทำงานข้อมูลเชิงลึกจึงเป็นสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมมีความถนัด ชนิดที่เมื่อมีการอภิปรายในสภาครั้งใดสามารถเรียกเรตติ้งจากประชาชนที่ติดตามการปะทะคารมได้ตาลุกวาวทุกครั้ง ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น ไม่กลัวใคร น้ำเสียงปลุกเร้าความสนใจ และท่าทางที่ออกรสจนเข้าข่ายแอ๊คอาร์ต พร้อมกับโหมโรงเรียกกระแสสังคมเรียกน้ำย่อยก่อนการเปิดศึกอภิปรายจริง

การทำงานที่สร้างความรู้จักในตัวของอดีตนายตำรวจผู้นี้ มาจากการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสื่อซึ่งในยุคนั้นรัฐบาลและทหารมีความขัดแย้งกันค่อนข้างสูง และเขาได้สร้างวีรกรรมนำรถถ่ายทอดโทรทัศน์ไปลักลอบดักฟังข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม จนเป็นที่มาของฉายา “เหลิมดาวเทียม”

นอกจากนี้ ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชวน หลีกภัย เป็นผู้นำรัฐบาล นั้น ก็เป็น ร.ต.อ.เฉลิม ที่ร่วมกับเนวิน ชิดชอบ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในกรณีการจัดสรรที่ดิน สปก.4-01 ด้วยข้อมูลที่มัดแน่นจนยากที่รัฐบาลจะชี้แจงได้ และเลือกที่จะยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งประเด็นดังกล่าวกลายเป็นตราบาปที่ติดตัวพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงปัจจุบัน และถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามแทบทุกครั้ง

ขณะที่ย้ายเข้าสู่พรรคพลังประชาชน และดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทยในสมัยรัฐบาลสมัคร เมื่อปี2550 ก็ออกโรงโจมตี สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยข้อกล่าวหาตบทรัพย์ โดยอ้างว่ามีพ่อค้าในห้างปลอดภาษีเป็นผู้ให้ข้อมูล และสร้างความขัดแย้งเกิดขึ้นภายใน 5 แกนนำ

แต่ก็ถูกสนธิตอกกลับและเผยว่า ร.ต.อ.เฉลิมเคยได้รับการช่วยเหลือรวมถึงท้าดีเบต !

ในที่สุด ร.ต.อ.เฉลิมจำต้องยุติศึกครั้งนี้ไปอย่างเงียบเชียบเพราะทราบดีว่า สนธิมีข้อมูลเชิงลึก และที่สำคัญเป็นบุคคลที่เคยมีบุญคุณต่อเขาในยามที่แล้งไร้ทางการเมืองและทุนรอนอย่างที่สุดเมื่อครั้งที่ต้องหลบหนีออกนอกประเทศจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)

สนธิ! จึงเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ ร.ต.อ.เฉลิมหลีกเลี่ยงที่จะต่อกรด้วย

นอกจากนี้ แม้ว่าในยามที่พรรคการเมืองสายทักษิณตกสู่ยุคตกต่ำที่สุด ภายหลังรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องมีอันเป็นไปหลังจากสิ้นเสียงวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในการยุบพรรคพรรคพลังประชาชนซึ่งเขาก็รอดมาได้ เนื่องจากมิได้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค

เขาจึงกลายเป็นเสาหลักของซีกฝ่ายค้านในการต่อสู้ทางการเมืองภายใต้รัฐสภาของพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ โดยการทำหน้าที่หัวหน้าทีมอภิปรายในฐานะฝ่ายค้าน ร.ต.อ.เฉลิมก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะงานการเปิดโปงข้อมูล เงินบริจาคกว่า 258 ล้านที่บริษัททีพีไอมอบให้ รวมถึงการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้รับจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ส่อว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ชอบ แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะถูกเปิดเผยโดย ร.ต.อ.เฉลิม แต่หลักฐานข้อมูลที่ค่อนข้างลึกทำให้ถูกมองว่ามีการล้วงลูก และมีการมองว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้ช่วยเหลือด้านข้อมูล

นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังถูกตามต่อและเพิ่มเติมซึ่งเขาอ้างว่า ต้นขั้วของใบเสร็จการชำระเงินนั้นได้รับจากคนในพรรคประชาธิปัตย์ ข้อมูลดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ก็ไม่มีการยืนยันว่าข้อกล่าวอ้างนั้นเป็นจริงแต่อย่างใด รวมถึงสุเทพจำต้องปะทะคารมกับ ร.ต.อ.เฉลิมอีกครั้ง จากกรณีการถือครองที่ดินป่าสงวนของบริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมจับตามองและหวั่นว่าอาจเกิดตามรอย สปก.4-01 อีกครั้ง

วีรกรรมที่ถือว่าเป็นการแสดงถึงศักยภาพด้านงานข้อมูลและวิธีการสืบสวนในฐานะอดีตสารวัตรปราบปราม และการทำตัวเป็นพ่อดีเด่น ก็คือ การทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือลูกชายคนเล็ก ร.ต.ดวงเฉลิม อยู่บำรุง กับการตกเป็นผู้ต้องหากรณีการเสียชีวิตของ “ดาบยิ้ม” ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ ตำรวจกองปราบปราม จนศาลพิพากษายกฟ้องในที่สุดหลังจาก “ครอบครัวอยู่บำรุง” เก็บตัวเพื่อสู้คดีดังกล่าวเป็นเวลากว่า 4 ปี และสามารถช่วยลูกชายให้พ้นจากการเป็นนักโทษชายได้ รวมถึงการช่วยเหลือให้ลูกชายได้คืนยศร้อยตรีอีกครั้งในสมัยรัฐบาลสมัคร หลังจากที่ถูกถอดยศและปลดเป็นเวลากว่า 7 ปี

ด้วยฝีมือการนำเสนอชั้นเลิศผสานกับความชำนาญในการหาข้อมูลเพื่อใช้ในการโจมตีบนเวทีในสภา ถือเป็นจุดแข็งของคนผู้นี้ที่สามารถใช้วิธีพิเศษเพื่อหาข้อมูลพิเศษในสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปกติเช่นนี้ และเชื่อว่านายใหญ่ที่พำนักอยู่ต่างแดนก็เชื่อในความสามารถเช่นกัน จนเรียกตัวกลับมาใช้งานในฐานะผู้นำในสภาที่ ร.ต.อ.ถนัด และเป็นงานหลักที่เขาต้องทำหน้าที่ เพราะเราจะไม่เห็นเลยว่า ร.ต.อ.เฉลิมย่างกรายขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แม้เพียงครั้งเดียว

บทบาทในเวลานี้ของคนชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม จึงอยู่ในจุดที่มั่นคงที่สุด เพราะการเข้าพรรคมาอย่างโดดเดี่ยว ไร้แรงหนุนจาก ส.ส. หรือพลังทุน และไม่อาจที่จะขยายฐานอำนาจเพื่อสร้างอิทธิพลต่อรองในพรรคได้ เขาจึงเลือกที่จะเล่นในบทถนัดและอยู่อย่างสงบ รอรับในสิ่งที่พรรคมอบให้แทนที่จะเรียกร้องอย่างเกินความจำเป็น ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็เชื่อว่านี่เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดเช่นกัน สำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม “ขุนพลฝีปากกล้า” ผู้นี้…