ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คงมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเจ็บปวดเพราะหนามแหลมของกุหลาบที่ทิ่มแทงจนแทบทนพิษบาดแผลไม่ไหวกับปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้น BEAUTY ทิ้งดิ่งลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราว 40% และร่วงลงหนักถึง 20% ภายในวันเดียวหลังจากบริษัทออกโรงแถลงข่าว (4 กรกฎาคม) หวังฟื้นความเชื่อมั่น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะหุ้นที่เคยไต่ระดับราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ที่ 23.70 บาท ยิ่งลดลงจนแตะจุดต่ำสุดใหม่ที่ 9.70 บาท และยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องแบบไม่เกรงใจใคร
เมื่อหุ้นตัวสวยเริ่มไม่สวยอย่างที่คิด!
จากความเพียรพยายามลองผิดลองถูกของ สุวิน ไกรภูเบศ ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ ซึ่งตัดสินใจพลิกบทบาทจากคุณหมอสวมสูทบริหารธุรกิจแทนเสื้อกาวน์ และใช้หัวทางการค้าผสมผสานการออกแบบสร้างสรรค์จับทางตลาดปั้นแบรนด์เครื่องสำอางได้สำเร็จ รวมจำนวนสินค้ากว่า 1,400 รายการ และสาขาประมาณ 348 สาขา แบ่งเป็น BEAUTY BUFFET 265 สาขา BEAUTY COTTAGE 75 สาขา BEAUTY MARKET 8 สาขา จุดขายที่คิงเพาเวอร์ 8 สาขา 22 จุดจำหน่าย และจำหน่ายสินค้าผ่าน 7-Eleven จำนวน 650 สาขา รวมถึง Boots 145 สาขา พร้อมข้ามพรมแดนรุกเปิดตลาดต่างประเทศรวมถึงช่องทางการขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2555 ช่วงปีนี้นับเป็นปีที่สุวินต้องรับศึกหนักและท้าทายที่สุด กับสถานการณ์บนกระดานหุ้นที่ต้องฟันฝ่าจากหลายปัจจัยที่ถาโถม ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สินค้าเดิมเริ่มคลายความนิยม และกระแสการบุกจับสินค้าเถื่อนที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท เป็นต้น
สถานการณ์ที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้มหาเศรษฐีหน้าใหม่อันดับที่ 40 ของประเทศไทย เจ้าของมูลค่าทรัพย์สิน 2.23 หมื่นล้านบาทต้องกุมขมับและออกมายอมรับถึงกำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่น่าจะเติบโตชะลอตัว หรือพลาดจากเป้า ไม่ว่าจะเป็นยอดขายสินค้ากลุ่ม Beauty Cottage ที่ลดลง ผลกระทบจากการเข้าตรวจสอบสินค้าและโรงงานผลิตเครื่องสำอางของ อย. ทำให้บริษัทชะลอการออกสินค้าใหม่ รวมถึงตลาดจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักประมาณ 30% ของรายได้รวม ตรวจเข้มสินค้าของบริษัทมากขึ้น
ขณะเดียวกันหมอสุวินยังออกมาชี้แจงถึงข่าวลือที่ทำให้หุ้นร่วง ทั้งเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์และซัพพลายเออร์ไม่ผ่านการรับรองของ อย. โดยยืนยันถึงมาตรฐานการผลิตของซัพพลายเออร์จำนวนกว่า 10 รายที่บริษัทเลือกใช้ และยังได้รับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ดังระดับโลก รวมถึงประเด็นการปลอมออเดอร์หรือคำสั่งซื้อเพื่อปั่นยอดขาย ซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดล้วนเป็นยอดขายจริงและส่วนใหญ่เป็นเงินสดมากกว่า 90% รวมถึงการใช้ผู้สอบบัญชีที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้และได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจาก ก.ล.ต.
ยิ่งไปกว่านั้น หุ้น BEAUTY ยังพยายามเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน ด้วยการให้แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางเติบโตได้เป็นอย่างดีในครึ่งปีหลังจากกำลังซื้อกลุ่มผู้บริโภคไทยและนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ พร้อมให้รายละเอียดกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยขยายสาขาทั่วประเทศและขยายช่องทางการจำหน่ายตลาด mass market ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น รวมถึงการขายออนไลน์ผ่านอีคอมเมิร์ซในจีนที่วางเป้าหมายยอดขายไว้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และเน้นการตลาดเชิงรุกในกลุ่มประเทศ AEC ผ่านการสร้าง Shop License และ Product Distributor ซึ่งบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายใน 9 ประเทศเป้าหมาย และเซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายใน 3 ประเทศ ได้แก่ ตะวันออกกลาง สิงคโปร์ และกัมพูชา เพื่อก้าวสู่การเป็น Regional Brand
แม้หมอสุวินจะตอบคำถามได้อย่างเคลียร์ชัดทุกประเด็นข่าว และแถลงแผนย้ำถึงความมั่นใจในเป้าหมายรายได้สิ้นปีคงไว้ไม่ต่ำกว่า 4,290 ล้านบาทและอัตรากำไรสุทธิเติบโตมากกว่า 20% แต่ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้ ซ้ำร้ายยิ่งทำให้หุ้น BEAUTY ร่วงหนักกว่าเดิมจนบริษัทต้องกลับมาตั้งหลักหาวิธีกอบกู้สถานการณ์กันใหม่
ช้อนซื้อ VS ตัดใจขาย
คำถามสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องกลับมาทบทวนเพื่อตัดสินใจอีกครั้งเช่นเดียวกับนักวิเคราะห์หลายสำนักที่คำแนะนำยังไม่เป็นเอกฉันท์ระหว่างกลุ่มที่ยังคงเชียร์ให้ซื้อ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนแนวโน้มและกระแสข่าวลือแล้ว และกลุ่มที่กระซิบให้ตัดใจขาย เพราะไม่เชื่อว่าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จริงตามที่บริษัทออกมาชี้แจง โดยสามารถรวบรวมปัจจัยบวกและปัจจัยลบจากนักวิเคราะห์สองฝั่ง ดังนี้
ท้ายสุดกับหุ้นความงามตัวที่ร้อนแรงที่สุดนาทีนี้ยังต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจากบริษัทส่งสัญญาณการจัดประชุมบอร์ดในวันที่ 9 กรกฎาคม เพื่อหาข้อสรุปเรื่องขออนุมัติซื้อหุ้นคืน ทั้งรายละเอียดจำนวน ราคา และวงเงินซื้อหุ้นคืนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
สัดส่วนยอดขายตามช่องทางการจำหน่าย
